Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for the ‘เรื่องสั้น’ Category

หมาข้างถนน นอนตาย ไส้ทะลัก สมองกระจาย สันนิษฐานว่าคงตายมาไม่ต่ำว่าเจ็ดชั่วโมง แมลงวันเริ่มบินว่อน รถราที่ผ่านไปมาหาได้ใส่ใจกับผลงานของเพื่อนร่วมใช้เส้นทางแม้สักน้อย บ้างที่เหลือบไปเห็นพอดีก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีจากภาพที่ชวนอาเจียนนั้น

แต่ใครจะรู้บ้างว่าในช่วงเจ็ดแปดชั่วโมงก่อนหน้านี้ขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันได้เผชิญกับอะไรมาบ้าง ชีวิตของหมาข้างถนน ต้องหากินตามถังขยะ คุ้ยเขี่ยเศษอาหารที่ผู้คนทิ้งขว้างเพื่อประทังชีวิตไปวัน-วัน ทนกับการถูกไล่ ถูกด่า ชีวิตหมา หมา ที่ไม่มีค่าตั้งแต่เกิดจนตาย

แสงแดดที่ร้อนระอุแผดกล้าเหมือนจะบาดผิดกายให้หลุดขาด ผมเดินผ่านซากหมาตายไปอย่างไม่สะทกสะท้านกับภาพและกลิ่นที่กระทบตาและจมูก หากเป็นบางคน คงรีบจ้ำอ้าวเพื่อให้พ้นจากอาณาบริเวณของกลิ่นอันชวนอาเจียนนั้น นึกเปรียบเทียบกับตัวเอง ผมต่างอะไรจากหมาข้างถนนตัวนั้น…

จำความได้ก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว แต่ด้วยความมุมานะ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาหรอก ผมจึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ในเวลานี้ได้ จะว่าไป ผมก็ไม่แน่ใจนักว่านี่คือความต้องการที่แท้จริงในชีวิตหรือเปล่า สังคมที่ผมอยู่มันช่างเหมือนโรงละครโรงใหญ่เสียนี่กระไร ทุกคนต่างปั้นหน้า เสแสร้ง แสดงบทบาทของตนอย่างสุดความสามารถ ประเภทพวกมากลากไป ใครดีใครได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา แม้นั่น จะเหยียบหัวใครขึ้นไปก็ไม่ได้ใส่ใจ

แรกทีเดียวผมก็ไม่ต่างกันนักกับเขาเหล่านั้น ผมจูงใจด้วยวาจา แม้บางครั้งต้องโกหกหลอกลวงเพื่อขายสินค้าให้ได้ ลูกค้าอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าถูกหลอก แน่นอนว่าผมเป็นนักการตลาดที่หลักแหลม เมื่อขายสินค้าได้ก็หมดความรับผิดชอบต่อไปก็โยนหน้าที่ให้ฝ่ายเซอร์วิสรับไป มันไม่ยากเย็นนักที่จะผลักภาระให้พ้นตัว แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เริ่มหันมองตัวเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันถูกต้องละหรือ เมื่อเราต้องเป็นผู้ซื้อบ้างและถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างที่เคยทำกับคนอื่น ผมเริ่มรังเกียจการกระทำของตัวเองและรอบข้าง มันอาจจะเป็นการพาลเกเรอย่างไม่เข้าท่าที่โยนความผิดให้กับสังคมเมื่อหน้าที่การงานเริ่มถึงทางตัน เพราะไม่รู้วิธีประจบ สอพลอ ความก้าวหน้าของงานจึงเป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย มันทำให้ผมพลอยเฉื่อยไปด้วย พักหลัง ผมจึงเพียงขายสินค้าให้ได้ไม่ต่ำว่าเกณฑ์ แต่ไม่เคยทำให้ได้สูงกว่าเกณฑ์เท่าใดนัก ผิดกับบางคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ยอดขายทะลุเป้า ผมเองก็คร้านที่จะไปแข่งขันกับใคร บ่อยครั้งที่ถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมไม่มีใครให้ปรึกษาหรอกเพราะผมไม่มีพ่อแม่และไม่มีเพื่อน ผมจึงมีคำถามเพื่อที่จะถามตัวเองและให้คำตอบกับตัวเองโดยไม่มีความคิดเห็นจากคนอื่น แต่มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม…สุขกับการไม่มีใครใยดีชีวิต

ผมเพิ่งกลับจากการไปหาลูกค้าเพื่อเสนอขายสินค้าตัวใหม่ในช่วงโปรโมชั่น สินค้าต้องใจผู้ซื้อและผมก็ขายได้อย่างไม่ต้องเปลืองน้ำลายมากนัก อาจจะเพราะการโฆษณาของทางบริษัทด้วยก็เป็นได้การเจรจาจึงเป็นไปด้วยความง่ายดายและรวดเร็ว และนี่เองทำให้ผมได้มีเวลาเตร็ดเตร่ชมความวุ่นวายของเมืองหลวงได้อีกพักใหญ่

เชิงสะพานลอย มีขอทานซูบๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ ตรงหน้าไม่มีแม้ถ้วยพลาสติกสำหรับผู้ใจบุญสุนทานหย่อนเหรียญสักเหรียญ หากสองมือนั้นต่างหากที่แทนความค่นแค้นอย่างแสนสาหัส ผมไม่ชอบขึ้นสะพานลอย มิใช่รังเกียจขอทานเหล่านั้นหรอก ผมเพียงแต่เวทนา และเมื่อเดินผ่านไปก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบแลมาอีกครั้ง และนั่น จะทำให้ผมครุ่นคิดไปได้ทั้งวันถึงความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำทางสังคม

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยรับจ้างแจกใบปลิวหาเสียงของผู้ลงสมัครเลือกตั้ง ครั้งนั้นเองที่มีโอกาสได้สัมผัสกับขอทานอย่างจริงจัง ความเหนื่อยล้าจากการยืนแจกใบปลิวค่อนวันทำให้ผมหลบแดดร้อนไปนั่งพักใต้ร่มไม้ที่มีผู้นั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายชราขาพิการทั้งสองข้าง อาศัยพยุงร่างด้วยลำแขนทั้งสองที่บัดนี้ต้องกลายเป็นทั้งแขนและขาโดยปริยาย หนำซ้ำดวงตาทั้งสองข้างยังบอดสนิทอีกด้วย

ชายแก่เริ่มบทสนทนาเมื่อรู้ว่ามีคนมานั่งข้างๆ

“นั่นเขากำลังทำอะไร” เมื่อตามองไม่เห็นก็ได้อาศัยการรับรู้จากการเงี่ยหูฟังคำปราศรัยของผู้ลงสมัครหาเสียงเลือกตั้งผู้แทน

“หาเสียงเลือกตั้งไงลุง”

“ก็เห็นเพิ่งจะเลือกกันไปไม่นานมานี่เองไม่ใช่รึ” แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ชายขอทานรู้เรื่องการเมือง

“เขายุบสภาแล้วก็เลยเลือกตั้งใหม่” ผมตอบ

“งั้นรึ”

“การเมืองก็งี้แหละลุง เป็นเกมหลอกเด็ก” ผมคร้านจะอธิบายมากเพราะรู้ดีว่าการเมืองของไทยเป็นอย่างไร ผมเริ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“ขอโทษเถอะลุง อย่าหาว่าผมแส่เลยนะ ลุงไปโดนอะไรมาหรือถึงได้เป็นอย่างนี้” จะด้วยเพราะนิสัยช่างอยากรู้อยากเห็นของผมหรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ผมก็โพล่งออกไปด้วยความที่ยั้งปากไว้ไม่ทัน

“เอ็งอยากรู้จริงหรือวะ ก็ได้.. ถ้าเอ็งอยากรู้ข้าก็จะเล่า” แล้วเรื่องราวชีวิตของชายชราก็พรั่งพรูเหมือนน้ำหลาก

สี่สิบกว่าปีให้หลังเขาเป็นชายฉกรรจ์ที่แข็งแรง เป็นลูกชาวนาที่อดทน เมื่อถึงคราวเกณฑ์ทหาร ก็ได้เข้าประจำการรับใช้ชาติอยู่สองปีและสมัครเป็นทหารชายแดนต่อหลังปลดประจำการ และสาเหตุที่ทำให้ร่างกายพิการก็เนื่องมาจากการโดนกับระเบิดเมื่อครั้งเป็นรั้วของชาตินี่เอง ผมเหลือบมองเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ มันเก่าคร่ำคร่าเปรอะเปื้อนมอมแมมเสียจนทำสีเดิมแทบไม่ได้ ลายเขียวๆ ปนน้ำตาลเข้มนั้นจางลง ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นชุดที่มีเกียรติ ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมขอทานคนนี้จึงรู้เรื่องการเมือง บ่ายนั้นเพื่อนกินข้าวของผมจึงคือชายแก่ขอทาน กับบรรยากาศใต้ร่มไม้กลางกรุง และบทสนทนาก่อนร่ำลาของชายแก่คือ

“แล้วอย่างข้า เลือกตั้งกับเขาได้ไหมวะ” เท่านั้นเองที่ทำให้ผมจุกขึ้นอก เพราะผมก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกันว่า ขอทานแก่ๆ ตาบอดและขาขาดจะเลือกตั้งกับเขาได้ไหม.. ผมหมายถึงสิทธิความเป็นคน เขายังมีเหมือนคนอื่นอยู่หรือเปล่า?

ผมสะบัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปเมื่อข้ามสะพานลอยมายังอีกฟากหนึ่ง ข้างๆ กำลังสร้างตึกใหม่ เครนยกแผ่นปูนขึ้นไปยังชั้นบนสุดของตึก ผมแหงนมองคอตั้งบ่า นึกในใจ เหมือนกำลังต่อเลโก้ ตึกน้อยใหญ่รูปร่างแตกต่าง มองๆ ไปก็เหมือนตัวต่อพลาสติก ของเล่นที่เด็กๆ ชอบ ไม่หรอก… เมื่อยังเด็กผมไม่เคยรู้จักหรอกว่าเลโก้คืออะไร อย่าว่าแต่เลโก้เลย แม้แต่ของเล่นพื้นๆ ที่หาได้ง่ายๆ ผมยังไม่มีปัญญาจะได้เล่น โตแล้วนี่เองหรอกที่ผมขวนขวายเสาะแสวงหาของเล่นเด็กมาเสียเต็มห้องเพื่อทดแทนในสิ่งที่ผมไม่เคยมีในวัยเด็ก หลายคนหาว่าผมบ้า บ้างก็ว่าสมองถดถอย ผมก็นิ่งเสียเพราะเบื่อหน่ายที่จะต่อความ อย่างน้อยมันก็เป็นความสุขของผมและมันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

โลกของผมไม่มีใครเข้าถึงและผมก็หับประตูเสียสนิท ไม่มีแม้สักคนที่จะเยื้องย่างมาทำความรู้จัก “ชีวิต” ของผมอย่างจริงจัง จะมีบ้างก็เพียงผ่านมา แล้วเลยไป บนหนทางสายชีวิตของตัวเอง แม้ผู้หญิงที่เคยรักที่สุดและคาดหวังว่าเธอจะเป็นทุกอย่างที่ผมไม่มี สุดท้ายเธอยังไป ตอนนั้นผมเหมือนคนบ้า ไม่เป็นอันกินอันนอน พลอยทำให้เสียการเสียงานจนเจ้านายเรียกไปตักเตือน และเป็นผลมาจนบัดนี้ ผมกลายเป็นคนไร้ความหวัง ไร้อนาคต มีชีวิตอยู่เพียงวันต่อวันเพื่อให้พ้นวันเท่านั้น ผมเกลียดการโกหก หลอกลวง เสแสร้ง แต่ผมต้องพบพานอยู่ทุกวี่วันกับสิ่งที่เป็นเหมือนหนามคอยทิ่มแทงใจอยู่ตลอดเวลา

เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า คนเราเกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่ออะไร ท้ายสุดต้องสรุปคำตอบเองว่า คนเราเกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่และเรียนรู้ที่จะให้ชีวิตอยู่ให้คุ้มกับการเกิดมาเป็นคน… แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจ ว่าใช้ชีวิตคุ้มค่าหรือยัง

วิถีชีวิตที่ซ้ำซากจำเจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ได้ทำให้อะไร อะไร พัฒนาขึ้นมามากกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าใดนัก หนำซ้ำบางทียังรู้สึกถึงการถอยหลังเข้าคลองของตัวเองอีกด้วย ถ้าเปรียบเทียบสังคมเป็นเครื่องจักร ผมก็คงเป็นเพียงน็อตตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก แม้มันจะหลุดหายไปก็ไม่ได้ทำให้สังคมพังครืนลงมาแม้แต่น้อย

จึงไม่ใช่เรื่องยากนักที่ผมจะถีบตัวเองกระเด็นออกจากเมืองหลวง หลุดจากกรอบสังคมที่เคยอยู่เพื่อไปแสวงหาบางอย่างให้กับชีวิต

บนดอยสูง ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผมดั้นด้นมาเพียงเพื่อจะหนีให้พ้นจากสังคมวุ่นวายที่ผมอยู่มาแต่เล็กแต่น้อย ผมเดินออกมาเฉยๆ ไม่มีใบลาออกและไม่ได้ถูกไล่ออก และกว่าใครในบริษัทจะรู้ว่าผมออกจากงานผมก็มายืนอยู่บนดอยสูงแห่งนี้เสียแล้ว บางครั้งก็ไม่ค่อยแน่ใจในการกระทำของตัวเองสักเท่าใดนัก บางทีผมก็นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่มีความอดทนต่อความเป็นอยู่น้อยเหลือเกิน หากยังอยู่ บางทีเจ้านายอาจมองเห็นความเป็นคนเก่าคนแก่ของบริษัทและเลื่อนขั้นเงินเดือนให้ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรผมก็มีเงินพอจ่ายเพราะตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน จะมีก็แต่บ้านเด็กกำพร้าที่ผมเติบโตมาเท่านั้นที่ผมต้องเจียดเงินเดือนทุกเดือนให้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กกำพร้าที่นั่น แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ส่งเงินให้บ้านเด็กกำพร้าแล้ว บนดอยสูงแห่งนี้ เงินไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิตมากนัก ผมมีความสุขกับการเป็นครูสอนหนังสือเด็กชาวเขา ที่นี่มีครูอาสาอยู่ก่อนแล้วคนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงที่ผมยกย่อง เธอแกร่งกว่าผู้หญิงหลายคนที่ผมรู้จัก เราพูดคุยถึงเรื่องความต้องการที่แท้จริงในชีวิต เธอมาอยู่บนดอยเพราะอุดมการณ์ บางครั้งผมเองก็ตกใจเมื่อเธอพูดถึงอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต เธอไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงอาชีพที่เธอทำอยู่ หากเธอต้องการเพียงเป็นคนธรรมดาที่มีคุณค่าบนดอยสูงแห่งนี้เท่านั้น

ผมอยู่บนดอยเสียพักใหญ่ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีขึ้น แน่นอนว่าผมอยู่ที่นี่สบายใจมากกว่าอยู่ในเมืองหลวง ผมไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปแข่งขันกับใคร ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการขึ้นรถเมล์ที่ยังจอดไม่สนิทแล้วกระชากรถออกอย่างไม่ปราณีปราศรัยผู้โดยสาร และผมก็ไม่ต้อง-ไม่ต้อง อะไรอีกหลายอย่าง บนดอยทำให้ผมใจเย็นเพราะอากาศเย็น แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปจากที่นี่ เหมือนหัวใจมันแสวงหาไม่มีที่สิ้นสุด หาทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าหาอะไรและหาไปทำไม วันที่ผมลงจากดอย เธอมาส่ง

“เคยคิดว่าจะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ร่วมชีวิต แต่แล้วก็ต้องกินอุดมการณ์เพียงลำพัง เหมือนเคย” ไม่มีแววเย้ยหยันในดวงตาและน้ำเสียง ไม่มีการแสดงออกว่าเสียใจสำหรับการจากลาของผม เธอไม่มีน้ำตา นอกจากรอยยิ้มที่แตะแต้มใบหน้า

ผมนั่งรถไฟข้ามวัน ข้ามคืนมาจนไกลและแน่ใจว่าอยู่อีกภาคหนึ่งของเมืองไทย ผมกลายเป็นคนพเนจรไปเสียแล้ว ผมกำลังค้นหาตัวเอง แต่ก็ยังไม่พบ..ในสิ่งที่หา ผมอาจจะค้นหาในสิ่งที่หายไป หรือสิ่งที่ไม่เคยได้ นี่คือปัญหาที่ผมเผชิญอยู่ ผมอาจจะไม่รู้จักตัวเองเลยก็ได้จึงทำให้ผมตัดสินใจให้อนาคตตัวเองแบบนี้

แล้วในที่สุดผมก็หยุดสิ่งต่างๆ ทั้งปวงไว้ที่นี่ เมื่อมีโอกาสได้มาอยู่กับชาวเล ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยทะเลเป็นบ้าน เป็นแหล่งทำมาหากิน และเป็นชีวิต พวกเขาด้อยโอกาสทางสังคม ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีสิทธิเลือกผู้แทนและไม่มีการศึกษา เด็กน้อยชาวเลตัวดำกร้านแดด ใคร่เรียน ใครรู้ แต่ไม่มีใครที่จะให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ ไม่มีใครที่จะเสียสละความสุขสบายส่วนตัวมาทนลำบากกับท้องทะเลที่ไร้อนาคต ไม่มีบุคคลผู้กินอุดมการณ์เป็นอาหารหลักคนใดนึกถึงชาวเล ผมเอง ไม่ใช่มนุษย์อุดมการณ์ แต่ผมหมดความ “อยาก” ที่จะดิ้นรนและแสวงหาความสบายอันไม่จีรัง มาออยู่อย่างถาวรกับคนเลที่นี่ และผมก็ได้รู้แล้วว่า สิ่งที่ผมค้นหาอยู่คืออะไร และแน่ใจว่าคุ้มค่าแล้วกับการมีชีวิตอยู่ ผมทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคมชาวเลที่อาศัยอยู่ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าตัวเองมีค่า และถ้าหากว่าผมตาย ผมก็แน่ใจว่าผมจะตายอย่างมีค่า ไม่ใช่ตายอย่างหมาข้างถนน… /

หมายเหตุ : เ็ป็นเรื่องสั้นที่เขียนไว้ราวปี 2550 ส่ง รวมเล่มประกวด Thailand Indy awards 2008 (9 ม.ค. 51)

Read Full Post »

ฝันซ้อน

ศรัทธาในพุทธศาสนามันละลายไปกับลมตั้งแต่เจอประโยค “จะไปไหนโยม ฟังเทศน์แค่ไม่กี่นาทีก็ลุกหนีเลยเหรอ… แหน่ะ พระพูดยังไม่หันหลังกลับมาอีก” ครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับให้ไปฟังเทศน์เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลกับชีวิต

แน่นอน เธอศรัทธาในพุทธศาสนา – เกิดมาเธอก็นับถือศาสนาพุทธแล้วโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาถามว่าต้องการหรือไม่, นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเธอเต็มใจที่จะสวดมนต์ ไหว้พระ เชื่อในบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องกรรม เชื่อเรื่องการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อในเรื่องนรก สวรรค์ และเชื่อว่าศีลห้าคือธรรมมะขั้นพื้นฐานที่หากปฏิบัติได้จริงแล้วนั้นจะช่วยลดปัญหาต่างๆ ในสังคมได้ – –

เธอพยายามรักษาศีลห้า แต่จะมีพลาดบ้างในข้อห้าก็ยังถือว่าเป็นการผิดศีลที่ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้ เธอยอมรับว่าเธอเป็นเพียงชาวพุทธธรรมดา ไม่ได้เข้าวัดเข้าวาเป็นกิจวัตร แต่ถ้าจำเป็นต้องไปหรือถ้าอยากไปวัดทำบุญเธอก็ไป, ไม่ได้ยึดมั่นว่าต้องวันสำคัญทางศาสนา หรือว่าต้องสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ตื่นเช้าต้องตักบาตร –

เธอไม่เคยใส่ใจในปัญหาของวัดและพระเกินกว่าการรับรู้ รับฟังข่าวคราวจากสื่อที่บังเอิญเปิดเจอ ไม่ว่าจะเป็นพระสึกเพราะสีกา พระร่ำรวยเกินกว่าที่พระควรจะรวย พระนั่งในวงไฮโล หรือข่าวอื้อฉาวต่างๆ นาๆ เธอไม่ได้ใส่ใจมากไปกว่ารับรู้, ไม่ตัดสินผิดถูกในการกระทำนั้น แม้จะเคลือบแคลงอยู่บ้างว่า เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเจตนาต้องการทำลายศาสนาพุทธซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศาสนาประจำชาติของใครหรือไม่ เมื่อสิ่งสำคัญของประเทศไทยคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ก็นั่นแหละ – – คิดไปคิดมาก็คิดมากเปล่าๆ แค่เรื่องราวของตัวเองก็วุ่นวายจะแย่

กระทั่งถึงวันเข้าพรรษาวันสำคัญทางศาสนาที่ผู้คนทั้งประเทศต่างก็พร้อมใจกันเข้าวัดทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต และเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น – เปล่าเลย, เธอไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องไปวัดในวันสำคัญทางศาสนานี้ เพียงแต่มันเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง เธอจึง “หลับตาจิ้มแผนที่ประเทศไทย” แล้วเดินทางไปพักผ่อนสบายอารมณ์ที่จังหวัดนั้น ระหว่างเดินทางเธอก็แวะบิ๊กซีซื้อชุดสังฆทาน พร้อมดอกไม้ธูปเทียน และชุดไฟนีออนอีกสองชุด บอกกับตัวเองว่า – ไหนๆ ก็วันพระแล้วนี่นะ ทำบุญสักหน่อยจะเป็นไรไป
สำหรับเธอแล้ว วัดก็คือวัด ไม่ว่าจะอลังการใหญ่โต หรือเล็กเพียงศาลาเดียวขอเพียงที่นั่นเรียกว่าวัดเธอก็สามารถเข้าไปทำบุญได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอบอกกับตัวเองว่า เธอจะเข้าไปทำบุญถวายสังฆทานในวัดที่สาม หลังจากผ่านกิโลเมตรที่สองร้อย และเป็นวัดที่ไม่อยู่ติดริมถนน – – อืมม์ เป็นเงื่อนไขที่ดูยุ่งยากไม่น้อย แต่ก็เป็นเรื่องสนุกกับการลุ้นเป้าหมายอยู่ไม่น้อย

กิโลเมตรที่สองร้อยสิบสาม เลี้ยวซ้ายตามป้ายไม้ผุๆ เก่าๆ เข้าไปในทางลูกรังอีกแปดกิโลเมตร ข้ามห้วยไปสองสะพาน ก็พบกับวัดป่าเชิงเขาที่เกือบรถยนต์เข้าไม่ถึง ในวัดมีพระจำพรรษาอยู่สามรูป เป็นพระอาวุโสที่น่าจะเป็นเจ้าอาวาส และพระหนุ่มรูปงาม หุ่นดีท่าทางเหมือนพระบวชใหม่ยังไม่สิ้นกลิ่นฆราวาส อีกรูปเป็นสามเณรอายุราวสิบขวบ นั่งนบนอบอยู่ด้านหลังพระผู้ใหญ่ หลวงตาเล่าว่าที่นี่เป็นวัดป่าที่ห่างไกลความเจริญมากเพราะอยู่ติดชายแดนตะวันตก ห่างออกไปไม่ถึงสิบกิโลเมตรจะเป็นเขตของพม่า ประชาชนส่วนหนึ่งที่มาทำบุญก็มาจากฝั่งนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำไร่ และมีฐานะยากจน พระเสียอีกที่ได้ฉันอาหารดีๆ นั่นเพราะชาวบ้านมักทำอาหารดีๆ ถวายพระ ขณะที่ตัวเองนั้นรับประทานอาหารแบบตามมีตามเกิด หญิงสาวถวายปัจจัยพร้อมดอกไม้ธูปเทียน หลอดนีออน และสังฆทาน จากนั้นหลวงตาก็ให้ “พระหนุ่ม” พาเธอไปที่โบสถ์เพื่อไหว้พระประธาน เพราะสามเณรต้องอยู่ล้างจานและทำความสะอาดพื้นที่บริเวณหลังจากพระฉันแล้ว

“หลวงพี่อยู่ที่วัดนี้มานานแล้วหรือคะ”

“สามวัน”

“หา หลวงพี่เพิ่งจะบวชเหรอคะ มิน่าผิวใสยังกับหนุ่มเมืองกรุง” พระหนุ่มคิ้วขมวด กระชับจีวร เธอแอบเบะปากไม่ให้พระเห็น – นั่นไม่ใช่คำชม แต่เป็นความอิจฉาเล็กๆ น้อยๆ ในความหล่อใส ผิวดีมีออร่าของพระหนุ่มต่างหาก
หญิงสาวจุดธูปเทียน วางดอกไม้ กราบพระประธานองค์ใหญ่ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยแกะสลักด้วยไม้สักทองยึดชิ้นไม้ให้ติดกันด้วยการเข้าเดือย สูงราวสองเมตร รายรอบด้วยพระพุทธรูปขนาดต่างๆ พระหนุ่มยืนอยู่ห่างๆ เมื่อเธอกราบพระเสร็จแล้วจึงเดินออกมานอกศาลา

“ว่าแต่… ทำไมหลวงพี่ถึงเลือกมาบวชที่วัดนี้ล่ะคะ”

“ผม… เอ่อ อาตมาไม่ได้เลือกหรอก คุณแม่ เอ๊ย โยมแม่เป็นคนเลือกให้น่ะ”

“อืมมม์ แสดงว่าหลวงพี่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองอ่ะดิ เลยต้องให้โยมแม่เป็นคนเลือก”

“หือ”

“ล้อพระเล่น บาปป่าวคะ?”

“แล้วโยมล่ะ ทำไมถึงเลือกมาทำบุญที่นี่ วัดนี้ห่างไกลความเจริญมากนะ ต้องตั้งใจมาจริงๆ ถึงจะมาได้”

“ดิฉันหลับตาจิ้มแผนที่มาค่ะ”

“งั้นก็ถือว่าชาติก่อนทำบุญไว้ที่นี่ ชาตินี้ก็เลยมีโอกาสได้มาทำบุญที่นี่”

“ชาติก่อนของดิฉัน ที่นี่สร้างแล้วเหรอคะ”

“โยมนี่ เถียงคำไม่ตกฟากเลยนะ แบบนี้ระวังตายไปปากเท่ารูเข็มนะ”

“ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้โป้ปด ไม่ได้ผิดลูกผัวใคร และไม่ได้ขโมยของใคร ไม่บาปหรอกค่ะ”

“บาปกรรมมันไม่ได้มีแค่นั้น แต่การที่โยมสามารถรักษาศีลห้าได้ เอ…. แต่ที่นับดู มันยังไม่ครบห้านะ”

“เถอะค่ะ ต่อให้ดิฉันดื่มสุราก็ไม่เคยไประรานหรือทำให้ใครเดือดร้อน ดื่มโดยรู้สติ เมาแล้วกลับหลับเป็นตาย แบบนั้นน่ะค่ะ”

“แต่มันก็ทำลายสุขภาพไม่ใช่หรือ”

“ก็จริงค่ะ แต่ช่างมันเถอะค่ะหลวงพี่ ว่าแต่ที่วัดนี่มีพระเณรแค่สามรูป ไม่เหงาเหรอคะ ถ้าหลวงพี่อยู่ในเมือง หลวงพี่จะมีอินเทอร์เน็ตใช้ รับรองได้ว่ามีเพื่อนเพียบ หรือไม่ก็รับกิจนิมนต์บ่อยๆ เก็บตังค์แป๊บเดียวซื้อไอห้าได้เลยนะหลวงพี่”

“โยมจะเดินดูอะไรแถวนี้ก่อนมั้ย อาตมาขอตัวไปกวาดลานวัดก่อน”

“อ้าว ทิ้งกันซะงั้นน่ะ”

“เชิญตามสบายนะโยม”

หญิงสาวนั่งพักอยู่ชานบันไดขึ้นโบสถ์ ลมเย็นปะทะผิว ใบสักปลิวร่วงเกลื่อนพื้น – นั่งมองหลวงพี่ที่เพิ่งบวชได้สามวัน กวาดลานวัดอย่างใจเย็น จะหวะลากไม้กวาดครืดๆ

ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดด

หญิงสาวผวาตื่นกับเสียงครืดดดด ของพัดลมที่กำลังหมุนติดชายผ้าคลุมบางๆ ที่เธอเอามารองนั่งแล้วชายปลิวเข้าไปม้วนกับใบพัดของพัดลมตั้งโต๊ะที่อยู่ไม่ห่าง

“ฝันอะไรพิลึก” เธอมองดูนาฬิกาข้างฝาเวลานั้นตีสี่ครึ่ง และหันกลับมาสนใจเรื่องสั้นที่กำลังเขียนค้างอยู่ ที่จริงมันก็ค้างอยู่อย่างนั้นสักระยะแล้ว – –

เหตุผลไม่กี่อย่างที่ทำให้เรื่องสั้นค้างนิ่งไม่ไหวติง คือ เฟซบุคกับซีรีย์เกาหลี ก็ในเมื่อชีวิตจริงมันโหดร้ายนักก็ต้องมีพักมีหลบจากโลกความจริงกันบ้าง แต่ความฝันที่เกิดขึ้นนั้นมันกวนใจเธอเกิน หรือบางทีอาจถึงเวลาที่ต้องเข้าวัดจริงๆ แล้วก็เป็นได้

ภาพของพระหนุ่มยังไม่จางหายไป แม้จะเลือนลางเหมือนมีหมอกจางๆ ปกคลุมเอาไว้ แต่ก็พอจะเห็นจีวรไหวๆ น่าสนใจไม่น้อย, ว่าแล้วก็เริ่มกางแผนที่ หลับตาจิ้มหาจังหวัดในเป้าหมายก่อนที่จะออกเดินทางไปเพื่อซื้อชุดถวายสังฆทาน และ หลอดไฟนีออนเหมือนในความฝัน ถึงบิ๊กซีซื้อของเสร็จกำลังจะจ่ายเงิน เงยหน้าขึ้นสบตากับพนักงานหนุ่ม

“เฮ้ย หลวงพี่” ชายหนุ่มผงะ ถอยไปสองก้าวด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะใช้มีดจี้ เพราะเสียงเธอดังราวกับเจอผี

“นี่มันอะไรกัน” หญิงสาวไม่เชื่อสายตาตัวเอง นึกว่าฝันไปจึงตบหน้าตาเองเข้าฉาดใหญ่ – –

ตุ้บบบบบบบบบบ

เธอตกเตียง – ( อ้วน เสียงตกจึงดังตุ้บ )

ฝันซ้อนฝัน – – เดจาวู
บ้าไปแล้ว……………..

Read Full Post »

สาเหตุเนื่องมาจากต้นฉบับนวนิยายเรื่องล่าสุดที่ถูกตีกลับมาพร้อมคำแนะนำของบรรณาธิการเพื่อให้แก้ไขก่อนจะดำเนินการขั้นต่อไป ในชั่วโมงนั้นหญิงสาวนั่งมองต้นฉบับสองร้อยห้าสิบหน้าอย่างเซ็งๆ… ไม่มีแรงบันดาลใจและไร้พลังในการสร้างสรรผลงาน เธอเกือบจะวางมือจากงานเขียนแล้วด้วยซ้ำไป และถ้าไม่เพราะต้นฉบับเรื่องล่าสุดนั่น และระหว่างที่เธอพยายามจะค้นหาแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือสักเล่ม เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น“จะไปปั่นจักรยาน ไปด้วยกันมั้ย”
เสียงจากปลายสายเป็นชายหนุ่มเพื่อนสนิท หญิงสาวมองดูนาฬิกา เวลานี้คือเที่ยงคืนสิบนาที

“หือ… ตอนนี้เนี่ยนะ”

“ฮื่อ”

“โอเค”
แล้วไม่นานเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดอยู่บ้านธรรมดา มาเป็นกางเกงจักรยานเสื้อยืด รองเท้าผ้าใบ สวมหมวก และออกจากบ้านพร้อมจักรยานคู่ใจ โดยมีเขามาคอยอยู่แล้วที่หน้าบ้าน

สโนว์ไวท์ เป็นชื่อจักรยานโร้ดไบท์สีขาวหนึ่งในจักรยานสามคันที่เธอมีอยู่… เธอไม่ได้ใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในชีวิตประจำวัน แต่เธอใช้จักรยานอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางใกล้ๆ หรือไม่ก็ใช้ในเวลาที่ต้องต่อรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินไปยังเป้าหมายอย่างเร่งด่วนเป็นต้น และโดยเฉพาะวันที่รู้สึกว่าชีวิต หดหู่ เหนื่อยหน่าย เต็มไปด้วยปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข การปั่นจักรยานทำให้เธอมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องเรื่องเดียวนั่นคือ ปั่นจักรยานอย่างไรให้ปลอดภัย ภาระที่แบกอยู่ถูกวางลง เมื่อสบายใจดีแล้วจึงกลับมาคิดหาหนทางแก้ปัญหาที่มีอยู่ นั่นเป็นวิถีทางที่เธอใช้… ตลอดมา

“เราจะไปไหนกัน”

“ไม่รู้สิ… ไปเรื่อยๆ ก่อนละกัน”

แล้วทั้งสองคนก็ออกเดินทาง หญิงสาวปั่นนำหน้า และชายหนุ่มปั่นตามมาข้างหลังทิ้งระยะห่างไม่กี่เมตร อากาศกลางคืนค่อนข้างเย็น ถนนกรุงเทพฯ ไม่มีรถวิ่งมากนัก แต่ก็ยังคงไม่ประมาทด้วยการใช้ถนนแบบถูกกฎจราจรคือถ้าติดไฟแดงก็ต้องหยุดแม้เวลานั้นถนนจะโล่งเพียงใดก็ตาม

“ไปริมแม่น้ำเจ้าพระยากันเถอะ”
ชายหนุ่มเอ่ยเป้าหมาย หญิงสาวเพียงพยักหน้าแล้วปั่นนำเช่นเคย อาจเป็นความเคยชิน – ที่เขาจะอยู่ข้างหลังตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันจนวันนี้ นับแล้วก็ครบปีพอดี

เธอยังจำได้ดีกับวันแรกที่ได้รู้จักกัน เป็นช่วงที่ใครๆ ก็เริ่มหันมาปั่นจักรยาน ซึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม หญิงสาวมองว่านี่เป็นลางดี เพราะถือเป็นการเริ่มต้นที่คนกรุงเทพฯ จะมีอากาศดีๆ ไว้หายใจบ้าง ถ้าคนหันมาปั่นจักรยานเยอะขึ้น ใช้จักรยานในชีวิตประจำวันมากขึ้น วันนั้นเป็นวันเปิดตัวจักรยานนำเข้ายี่ห้อหนึ่งซึ่งประกาศผ่านสื่อออนไลน์สำหรับใครที่อยากปั่นชมกรุงท่องเที่ยวชุมชนเก่าแก่ของสยามยามเย็น เธอเลือกทริปนี้เพียงแค่อยากถ่ายรูป “สยามยามเย็น” เท่านั้น วันนั้นเองที่เธอได้รู้จักกับเขา – ขณะที่เธอกำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอย่างสนใจ

“ผมว่าเราควรตามคนอื่นๆ ให้ทันดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจจะหลงทางหรือคลาดกันก็ได้” ประโยคที่ทำให้คนที่กำลังเมามันกับการกดชัตเตอร์ฉุนเฉียวขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่าทำตามนั้น และหลังจากทริปนั้น ก็ดูเหมือนเธอจะเจอกับเขาอีกหลายครั้งในทริปต่างๆ ของจักรยาน ไม่รู้เพราะบังเอิญ หรือโชคชะตา และนั่นเองทำให้เธอจึงเริ่มสังเกตเขา ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา รูปร่างผอม ไม่สูงมากนัก และเธอเดาว่าบางทีเขาอาจจะเป็นสถาปนิก เป็นนักออกแบบ เป็นศิลปิน เป็นกวี หรือบางทีอาจจะเป็นครู แต่เขาไม่ใช่ทหารแน่ๆ ในทุกทริปที่เธอเจอเขาจะปั่นจักรยานอยู่เกือบท้ายสุด เพื่อคอยกั้นรถจากในซอยบ้าง คอยดูแลเมื่อมีคนบาดเจ็บ หรือกระทั่งคอยอยู่เป็นเพื่อนเมื่อมีใครปั่นต่อไปไม่ไหว… นั่นกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอแอบมอง

การได้แอบมองใครสักคนโดยเขาไม่รู้ตัวเป็นเรื่องโรแมนติกสำหรับเธอ.. เขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเธอคิดอย่างไร และเธอเองก็ไม่จำเป็นต้องก้าวข้ามเส้นโรแมนติกนี้ไปที่ไหน แค่ได้รู้สึกดีๆ เท่านี้ก็สุขใจ แต่ก็แปลก ดูเหมือนเทวดาจะไม่ได้เป็นใจแค่ที่พอใจ เพราะในทริปถัดมาเทวดาก็แผลงฤทธิ์

“รถเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เมื่ออยู่ๆ เธอจอดจักรยานนิ่งไม่ขยับไปไหน

“รถไม่เป็นไร แต่ว่าคนอ่ะน่าจะเป็น”

“งั้นก็เข้าหลบในร่มก่อน”
ทริปนั้นเป็นการปั่นจักรยานทริปพิเศษต่างจังหวัดทริปแรกของเธอกับ “เนินซึมๆ” ที่ฟังจากชื่อแล้วไม่น่าจะเป็นเนินสูงแต่กลายเป็นเนินพิฆาตสำหรับนักปั่นขาอ่อนให้ต้องจูงเดินมาหลายราย
และเธอก็คือหนึ่งในนั้น

“คุณไปเถอะ เดี๋ยวฉันรอรถเซอร์วิสก็ได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไร ผมรอเป็นเพื่อน”

“เดี๋ยวตามคนอื่นไม่ทันนะ”

“ผมไม่ได้ปั่นตามใคร”

“สงสัยจะเป็นเพราะอากาศร้อนและนอนไม่พอ เลยทำให้ไม่สดชื่นเท่าที่ควร”

“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องพักผ่อน นั่นแหน่ะรถเซอร์วิสมาพอดี”

“ขอบคุณมากนะคะ… เอ่อ ฉันชื่อ พิณสาย ค่ะ”

“ผมชื่อ วฤณ ครับ หายไวๆ นะ แล้วพบกันครับ”

นั่นเป็นการเริ่มต้นมิตรภาพดีๆ ของเธอกับเขา แต่ก็เพียงแค่ความเป็นเพื่อนที่ดีเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ทั้งเขาและเธอมีเพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเป็นเพื่อนปั่นจักรยานด้วยกัน เธอชอบปั่นจักรยานกลางคืน แต่ด้วยเพราะเรื่องของความปลอดภัยทำให้เธอไม่ค่อยได้ออกไปไหนต่อไหนคนเดียวนัก กระทั่งได้รู้ว่า วฤณ เองก็ชอบปั่นจักรยานกลางคืนเช่นกัน ทั้งคู่จึงกลายเป็นคู่หูกันโดยปริยาย หลายครั้งทั้งคู่นัดกันปั่นจักรยานไปดูหนัง ไปทานข้าว หรือกระทั่งไปทัวริ่งไกลๆ บางทีคงเพราะเธอเป็นคนง่ายๆ ไม่เรื่องมาก และอาจเพราะสิ่งที่ชอบเหมือนกันจึงทำให้เข้ากันได้ง่ายๆ

บนสะพานพระรามแปดริมเจ้าพระยา ทั้งคู่นั่งหย่อนขามองไปยังปลายทางที่อยู่ไกลออกไปข้างหน้า ความใกล้ชิด สนิทสนมทำให้มีเรื่องราวมากมายมาบอกเล่าให้ฟัง

“ทำไม วฤณ ถึงไม่มีแฟน”

“ถึงผมจะไม่มีแฟนแต่ผมก็มีคนที่ผมชอบนะ”

“จริงดิ ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังมั่งเลย”

“ก็พิณไม่เคยถามผมนี่”

“ถ้างั้น… ถามเลยละกัน คนที่ วฤณชอบ… เค้าเป็นใคร เป็นยังไงหรือ”“เป็นหญิงสาว น่ารัก ผิวขาว ตัวเล็ก ปั่นเมาเทนไบท์ เธอเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ อยู่ซอยอารีย์ บังเอิญผมนัดลูกค้าแถวนั้นเพื่อจะเอาแบบบ้านไปให้ดู ลูกค้าเป็นคนนัดผมที่ร้านกาแฟร้านนั้น พอผลักประตูหน้าร้านเข้าไป ต้องทึ่งมาก เพราะร้านกาแฟเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟ และสิ่งที่สะดุดตาที่สุดเป็นจักรยานฟิกซ์เกียร์สีบลูพาสเทล จอดสงบนิ่งอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะนั่ง แล้วผมก็ไปที่นั่นอีกสองสามครั้งจนกระทั่งคุ้นเคยกับร้านนั้นและได้รู้ว่าเจ้าของร้านเป็นนักปั่นตัวยงคนหนึ่ง… ตอนนั้นผมก็แค่แอบชอบเธอเท่านั้นแหละ จนได้คุยกันเรื่องจักรยาน ถึงได้รู้ว่าเราคอเดียวกัน มีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง จนเหมือนกับมองเห็นตัวเองในกระจก”

“แล้ว วฤณ บอกเธอหรือเปล่าว่ารู้สึกกับเธอยังไง”

“ไม่หรอก ผมไม่กล้าบอก… ที่จริง เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”

“แล้วเธอไม่มีแฟนเหรอคะ”

“ผมคิดว่าเธอคงเคยอกหักแบบสาหัสมาก่อน เลยทำให้เธอไม่กล้ารักใครอีก”

“บางที เธออาจจะรอให้ วฤณ พูดก็ได้นะ”

“ถ้าการบอกรักแล้วทำให้มิตรภาพไม่เหมือนเดิม ผมขอไม่บอกดีกว่า” ประโยคของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลบๆ ในหัวใจ… เพราะมันไม่ได้ต่างกันเลยกับที่เธอรู้สึกกับเขา – หลายครั้งที่เธออยากบอกความรู้สึกออกไป แต่ถ้าหากบอกไปแล้วต้องถูกปฏิเสธก็สู้ไม่พูดอะไรเลยดีกว่า

“แล้วพิณล่ะ – ทำไมถึงยังไม่มีใคร”

“พิณก็คงเหมือน วฤณ นั่นแหละค่ะ… การที่ได้อยู่ใกล้ ได้มองเห็นคนที่เรารักอยู่เสมอ บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักกันก็ได้มั้งคะ – – เหมือนเราสองคนไง” จบประโยคให้คิดต่อ หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า “หมาก” ที่เธอวางเอาไว้นั้นเขาจะไปคิดต่ออย่างไรหรือเปล่า แต่การได้บอกกลายๆ ว่าเธอคิดอย่างไร ก็สบายใจแล้วที่ได้พูด

นาฬิกาบอกเวลาตีสอง ทั้งคู่ปั่นกลับเส้นทางเดิม… วฤณ แยกตัวกลับบ้าน พิณสายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และเริ่มต้นแก้ไขต้นฉบับนวนิยายอีกครั้ง….

Read Full Post »

รูปภาพ

 

 

ถึงภูริน

สวัสดีจ้ะภูริน, เป็นยังไงบ้างการทำงาน ชีวิตส่วนใหญ่คงราบรื่นและมีความสุขดีนะจ๊ะ ปิ่นเพิ่งกลับจากงานหนังสือมา ซื้อหนังสือน่าอ่านมาหลายเล่ม และหนังสือหลายเล่มก็อยากให้อ่านมาก อยู่ไกลถึงกลางทะเลคงไม่ค่อยมีโอกาสได้หาหนังสือใหม่ๆ อ่านก็เลยส่งหนังสือมาให้อ่านก่อน ๑ เล่ม เป็นหนังสือที่ได้มาจากงานสัปดาห์หนังสือปีล่าสุด แน่นอนว่าปกติต้องไปงานหนังสือทุกปี และเผลอๆ บางปีก็ไม่ได้เป็นแค่คนอ่านเพราะมีสถานะเป็นคนเขียนด้วย การเป็นนักเขียนเป็นความสุขอย่างหนึ่ง และต่อให้เขียนแล้วไม่มีคนอ่านก็ยังมีความสุขที่ได้เขียน จะปวดใจบ้างเล็กน้อยก็เมื่อเห็นหนังสือของเราไปเลหลังลดราคาเหลือเล่มละสิบ ยี่สิบบาท ในงานนั่นแหละ แต่ก็ยอมรับได้นะ เพราะรู้ดีว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติของโลกอยู่แล้ว เราต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ไม่ว่านั่นจะเป็นช่วง ขาขึ้น หรือขาลง ก็ตาม

งานหนังสือปีนี้มีหนังสือใหม่ๆ เยอะมาก มีนักเขียนหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกปีและนักเขียนหน้าเดิมที่ฝีมือติดลมบนเหมือนว่าวจุฬากลางอากาศมีแฟนคลับหนาแน่นแถวยาวไปถึงประตูเพื่อรอขอลายเซ็นก็มีเช่นกัน นักเขียนบางคนมานั่งเคาะปากกาเล่นเพียงเพราะไม่มีนักอ่านมาขอลายเซ็นก็เห็นเยอะ นักอ่านที่เบียดเสียดตัวเองเพื่อให้เข้าไปในบูธสำนักพิมพ์ที่หมายตาไว้ บางนักอ่านก็มาหาหนังสือที่น่าสนใจเอาข้างหน้า และอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีมาอย่างเงียบๆ ในงานหนังสือเสมอคือแฟนคลับของนักเขียนที่งานหนังสือคือจุดนับพบของพวกเขาเพื่อทำกิจกรรมร่วมกับนักเขียนคนโปรด โลกของหนังสือจึงตื่นตาตื่นใจเสมอ

และถึงแม้จะห่างเหินสถานะ “นักเขียน” ไปพักใหญ่แล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เขียนหนังสืออีกต่อไป แน่นอนว่า ถ้าหากคนเรารักในสิ่งใดแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะถอนตัว เช่นกัน หากเรารักในใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ถอนใจ

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือของนักเขียนคนโปรด ปิ่นจะซื้อหนังสือของนักเขียนผู้นี้ทุกครั้ง หลายเล่มชอบในเนื้อหา หลายเล่มชอบในสำนวน และหลายเล่มชอบในแนวคิด เราอาจจะรู้จักใครสักคนด้วยการสนทนา พูดคุยและทำความรู้จักด้วยวิธีต่างๆ แต่ใช้ไม่ได้กับนักเขียน เพราะนักเขียนเป็นบุคคลจำพวกพิเศษ และมักจะมีสิ่งที่พิเศษที่ยากจะเข้าใจได้จากเพียงแค่อ่านหนังสือของเขา เล่มนี้เป็น ผู้เขียนคือ วินทร์ เลียววาริณ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นหักมุม ชื่อ “ร้อยคม” ที่อ่านแล้วบางเรื่องก็เดาเนื้อหาออกตั้งแต่แรก บางเรื่องก็หักมุมจนรู้สึกเหมือนโดนหักคอ แต่ที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้ทำให้ปิ่นเกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนหนังสืออีกครั้ง หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนต้นไม้กระถางเฉาๆ พร้อมตายแต่อยู่ๆ ฝนหลงฤดูก็เทกระหน่ำลงมา ต้นไม้กระถางเลยได้โอกาสฟื้นตัวเมื่อมีแสงแดดเบาบางกระทบใบในยามสาย

เขียนจดหมายมายาวๆ แบบนี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าระลึกถึง หลังจากที่ภูรินสอบได้เป็นนักบินสมใจแล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่เป็นอันเข้าใจได้ว่าเรียนหนักพักน้อยและไม่ค่อยว่าง ทั้งยังอยู่ห่างตั้งหลายไมล์ทะเล อย่างไรก็ดี รักษาสุขภาพกายและใจให้สมดุลอยู่เสมอ เจ็บป่วยรีบรักษาและตั้งใจทำงานนะจ๊ะ

ปล. ฝากจดหมายและหนังสือมากับรุ่นพี่ กองบิน ๕๓ ซึ่งรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะฝากต่อ และ ฝากต่อจนถึงมือ ดังนั้นจดหมายและหนังสือจึงขึ้นอยู่กับ “ดวง” มาก หากได้รับแล้วตอบกลับทาง อีเมลล์ ที่แนบมานี้ด้วยนะจ๊ะ

ด้วยความคิดถึง / ปิ่นมุก

ผ่านไปถึง ๒ เดือนปิ่นมุกจึงได้รับอีเมลล์ไม่คุ้นฉบับหนึ่ง เธอเปิดอ่านอย่างตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าต้นทางที่ส่งคือภูริน

ถึงปิ่นมุก

ขอบคุณมากครับสำหรับหนังสือ กว่าจะเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาก็ใช้เวลาอยู่นานโข ดีใจมากที่มีหนังสืออ่าน ชีวิตการทำงานก็สนุกดี ไม่ต่างกับขับรถเมล์เท่าไหร่ เว้นแต่ไม่ได้อยู่บนพื้นดินแต่อยู่บนอากาศ เหนือพื้นน้ำไม่สูงนัก ไม่อยากมองลงไปบนพื้นน้ำสักเท่าไหร่ เพราะมองลงไปทีไรก็เสียวสันหลังวาบทุกที แต่ข้อดีของการเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์คือไม่ต้องอยู่กับที่นานนัก มักต้องเดินทางอยู่เสมอ บางทีก็เผลอนึกว่าเป็นนกจะโผลงไปจับฉลามในทะเลอยู่บ่อยๆ ( ล้อเล่นนะ) อ่านจบแล้วสำหรับ ร้อยคม เป็นหนังสือที่กระแทกหัวใจอย่างแรง จนทำให้อยากอ่านเล่มอื่นๆ ขึ้นฝั่งไปครั้งหน้าจะต้องหามาอ่านสักตั้งแล้ว

ขอบคุณมากสำหรับจดหมายและขอโทษด้วยที่ไม่ได้ส่งข่าวเลย รักษาสุขภาพด้วย / ภูริน

จากจดหมายฉบับแรกเป็นสองสามสี่ห้าและเผลอประเดี๋ยวเดียวจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ก็เป็นร้อยฉบับ เรื่องราวมากมายที่ต่างคนก็ต่างเล่าความเป็นไประหว่างที่ห่างกัน ปิ่นมุกรู้สึกดีกับภูรินมากขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า ภูรินเป็นคนหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิต วางแผนการใช้ชีวิตมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เขาตั้งใจจะเป็นนักบิน และแม้ชีวิตจะพลิกโผ แปรผกผันไปในทิศทางที่ไม่คาดคิดแต่สุดท้ายแล้วเส้นชีวิตก็มาสมปรารถนาที่ตั้งไว้ ความสนิทสนมของเธอกับเขาคือช่วงที่เขาทำงานที่เดียวกับเธอ ไม่นานเขาก็ลาออกไปเดินตามความฝัน แต่ก่อนหน้านั้น ภูรินเป็นเหมือนแรงบันดาลใจของเธอเช่นกัน

ภูรินกับปิ่นมุกไม่ได้เป็นคนรักกัน ไม่เคยเป็นคนรักกัน แม้ “บางคน” จะรู้สึกมากกว่านั้นก็ตาม แต่ก่อนที่ภูรินจะลาออกไปเป็นนักบินเขาเคยถามปิ่นมุกว่า เธอรู้สึกอย่างไรกับเขา เธอตอบมาว่า “เป็นเพื่อนกันนั่นแหละดีแล้ว” ตอนนั้นภูรินเก็บทุกความรู้สึกไว้กับตัวแล้วออกเดินทาง หญิงสาวไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาคิดยังไงกับเธอ กระทั่งมีจดหมายจากเธอนั่นแหละ ทุกอย่างจึงถูกเปิดเผย

“นายจะไม่ตอบเธอจริงๆ เหรอ” เพื่อนหนุ่มนักบินถามขึ้นหลังจากที่อ่านจดหมายของปิ่นมุกจบ

“ไม่ล่ะ ไม่อยากให้ณาดาเข้าใจผิด” ชื่อนั้นเป็นชื่อของคนรักของภูริน เขาเพิ่งคบกับเธอได้ไม่นานนัก รักจึงหวานชื่นเป็นสีชมพู เขาไม่อ่านจดหมายของปิ่นมุกด้วยซ้ำ ห่อหนังสือวางอยู่อย่างนั้นตั้งแต่วันแรกที่มันเดินทางมาถึงเมื่อเกือบสองเดือนก่อน

“แล้วหนังสือนี่…”

“เอาไปอ่านเหอะ… เราไม่อ่านหนังสือพวกนี้หรอกนายก็รู้นิ่” ภูรินเพียงชายหางตามอง ไม่แตะแม้สักนิด

“แล้วจะทำยังไงกับจดหมายนี้ล่ะ”

“นายก็ตอบไปเลย” คนเป็นเพื่อนยักไหล่ หยิบหนังสือติดมือไปด้วย เขาอ่านจนจบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตอบจดหมายเธอ นั่นเป็นที่มาของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หลายร้อยฉบับที่ตอบโต้กันไปมาระหว่างภูริน (ปลอมๆ) กับหญิงสาวชื่อปิ่นมุก ซึ่งคุยกันถูกคอในหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหนังสือ หนัง เพลง โน่น นี่ นั่น จนกระทั่งหญิงสาวเอ่ยปากสารภาพ

“ที่เคยพูดว่าเป็นแค่เพื่อนกันนั่นแหละดีแล้ว ที่จริง ไม่ได้คิดแค่เพื่อนเลย ภูรินคงไม่รู้หรอกว่าปิ่นตกหลุมรักภูรินตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แต่เพราะรู้ตัวว่าไม่มีอะไรดีพอจะไปเทียบกับใครได้ อีกอย่างก็คิดว่าคนอย่างปิ่นน่ะ ภูรินไม่มีวันชายตาแลหรอก ตอนนี้ปิ่นอยากบอกว่าปิ่นชอบภูรินมาก และชอบมานานแล้วด้วย ขอโทษนะที่บอกตอนนี้ แต่นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ได้คุยกันทางอีเมลล์ ได้รู้ว่าเรามีอะไรที่เหมือนๆ กันมากมาย เข้าใจกัน และที่สำคัญภูรินทำให้ปิ่นมีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น” หลังจากอ่านเนื้อความนี้จบ ภูรินปลอมๆ ถึงกับอึ้ง, เขาบอกกับภูรินตัวจริง ว่าปิ่นมุกคิดอย่างไร แต่ภูรินตัวจริงก็ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องราวใดๆ ที่เกี่ยวกับปิ่นมุกอีกเลย นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสารเธอ… และมากกว่านั้นคือเขาเองก็ชอบเธอเช่นกัน เมื่อถึงครบกำหนดพัก เขาจึงเดินทางเข้ากรุงเพื่อไปพบกับปิ่นมุก และไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือชื่อ “ร้อยคม” ติดมือไปด้วย เมื่อถึงที่นัดหมายเขาพบว่าปิ่นมุกนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มเดินไปยังเป้าหมาย

“สวัสดีครับ ผมชื่อ นนทณัฐ เป็นเพื่อนของภูริน” ปิ่นมุกแปลกใจเมื่อคนที่มาตามนัดไม่ใช่คนที่นัดไว้

“ก่อนอื่นผมอยากให้คุณอ่านจดหมายฉบับนี้ และเรื่องสั้นในเล่มนี้ หน้า ๘๙ ครับ ระหว่างนี้ผมขอตัวไปทำธุระส่วนตัวสักครู่ และจะกลับมาหลังจากที่คุณอ่านจบแล้ว” นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวแปลกใจมากยิ่งขึ้น แต่เธอก็รับจดหมายมาอ่านแต่โดยดี

ถึงปิ่นมุก

ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้นะครับ ผมดีใจที่เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และแน่นอนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป / ภูริน

ปิ่นมุกจิบกาแฟที่วางอยู่ตรงหน้า อีกทั้งยังงุนงงและสงสัยว่าเนื้อความในจดหมายนี้ต้องการสื่ออะไร ไม่นานเกินไป นนทณัฐก็กลับมาและนั่งลงตรงข้าม

            “ผมคือตัวละครในหนังสือหน้า ๘๙ ผมเป็นคนเขียนจดหมายถึงคุณทั้งหมด” เท่านั้นเองเรื่องราวทั้งหมดของเรื่องสั้น “จดหมายรัก” หน้า ๘๙ ในหนังสือ ร้อยคม ของ วินทร์ เลียววาริณ ก็พรั่งพรูเหมือนสายฝน นั่นหมายความว่า คนที่ปิ่นมุกเข้าใจว่าเป็นภูรินตลอดมาคือคนที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ – –

แรงบันดาลใจ : จากหนังสือ รวมเรื่องสั้น วินทร์ เลียววาริณ ชื่อ “ร้อยคม” เรื่อง จดหมายรัก หน้า ๘๙ / และ “ภควัส”

Read Full Post »

หลังห้าโมงเย็นไม่กี่นาที รถสีขาวคันเล็กก็จอดนิ่งสนิทในลานจอดรถของสวนรถไฟ เจ้าของรถก้มมัดเชือกรองเท้าให้แน่นอีกครั้งก่อนล็อครถและเดินผ่านประตูเข้ามาในสวน มีคนไม่มากนักที่กำลังออกกำลังกาย นั่นอาจเป็นเพราะฝนที่เพิ่งหยุดตกก็เป็นได้ที่ทำให้สวนสาธารณะแห่งนี้ผู้คนบางตากว่าที่ควรจะเป็น หรือบางทีเวลานี้อาจจะไม่ค่อยมีคนออกกำลังกายอยู่แล้วก็เป็นได้ เธอเพียงแต่คาดเดา นั่นเพราะเธอเองก็ไม่เคยมาที่นี่ในเวลานี้เช่นกัน นับครั้งได้ที่เธอมาที่สวนแห่งนี้ ครั้งแรก เธอมากับคนรักและครั้งต่อมาคือมาเพื่อทดสอบร่างกายประจำปีของที่ทำงาน ด้วย การวิ่งสองกิโลเมตร ซิทอัพ ดันพื้น ซึ่งครั้งที่สองนี้ก็เป็นเวลาตีห้าครึ่ง เช้าและเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งนับจำนวนผู้คนว่ามากน้อยแค่ไหน

และถ้าไม่เป็นเพราะ “นิชคุณ” บางทีเธออาจจะไม่มีแรงบันดาลใจมากพอที่จะถ่อมาที่นี่ในเวลานี้ก็เป็นได้

ห้าร้อยเมตรแรกไม่ใช่ปัญหาในการวิ่ง เว้นแต่คอเริ่มแห้งและความแสบร้อนที่ลำคอเริ่มเพิ่มดีกรีขึ้นทำให้หายใจถี่ขึ้นและจังหวะการวิ่งช้าลง จนกลายเป็นเดินเร็ว เดินช้า และหยุดเดินที่ม้านั่งข้างทางในที่สุด…

“เฮ้… เป็นไงมั่ง น้ำมั้ย” ขวดน้ำดื่มถูกยื่นมาให้จากมือของชายหนุ่มที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ตรงหน้า

“ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”

“เรารู้จักกันนะ คุณจำผมไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ทักทายอีกครั้งหนึ่ง

“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจำคุณไม่ได้ล่ะ”

“ก็คุณทำหน้าเหมือนจำผมไม่ได้”

“ฉันก็แค่เหนื่อยน่ะ”

“คุณไม่เคยมาวิ่งที่นี่ใช่มั้ย ผมไม่เคยเห็นคุณที่นี่”

“ฉันไม่ชอบวิ่ง”

“แล้วทำไม วันนี้คุณถึงมาวิ่งล่ะ”

“ฉันมาวิ่งเพราะนิชคุณ”

“ใครคือนิชคุณ”

“นี่คุณ… ไปอยู่ดาวดวงไหนมาเนี่ย ไม่รู้จักนิชคุณ”

“แล้วทำไมผมต้องรู้จักนิชคุณด้วยล่ะ”

“ช่างเถอะ… ไม่รู้จักก็แล้วไป ฉันไปก่อนล่ะนะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับความสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่รู้จักนิชคุณ

เพราะโลกมันกลม ประเทศไทยมันแคบหรือว่าสวนรถไฟมันเล็กกันนะ เธอถึงได้มาเจอคนรู้จักในสถานที่แห่งนี้ได้ แต่จะว่าไป ถึงแม้จะรู้จักกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันสักหน่อยนี่นะแล้วจะ “วิ่งตามมาทำไมเนี่ย”

“ผมเปล่าวิ่งตามคุณ ผมก็วิ่งของผมอย่างนี้ทุกวัน”

“ทำไมคุณถึงชอบวิ่ง” ประโยคคำถามเดียวกับนางเอกในหนังเป๊ะ

“ผมไม่ได้ชอบวิ่ง ผมชอบออกกำลังกาย ผมเล่นกีฬาทุกประเภทที่เล่นได้ เพราะการเล่นกีฬามันทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงมาวิ่ง ขอเหตุผลที่ไม่ใช่เพราะนิชคุณน่ะ”

“ไม่รู้ ฉันยังคิดไม่ออก”

“ถ้างั้น… พรุ่งนี้คุณบอกผมก็ได้นะ ผมมาวิ่งที่นี่เวลานี้ทุกวัน ส่วนวันนี้หมดเวลาแล้ว ผมจะกลับล่ะ”

“ตามสบาย”
เธอจบประโยคสนทนาเท่านั้น ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับบทสนทนาโดยบังเอิญของคนรู้จักกันสองคน

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องแรกในชีวิตที่เธอลงมือทำหลังจากที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้น ครั้งหนึ่งหลังจากที่เธออ่านหนังสือ “โตเกียวไม่มีขา” ของนักเขียนชื่อดัง “นิ้วกลม” จบเล่ม สองชั่วโมงหลังจากนั้นเธอก็พาตัวเองไปที่หัวลำโพง ซื้อตั๋วเดินทางไปหนองคาย ประทับตราหนังสือเดินทางประเทศลาว ข้ามไปเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง หลวงน้ำทา ฮานอย โฮจิมินท์ และบินกลับประเทศไทยในระหว่างนั้นเธอลางานยาวสิบวันเต็มเป็นการส่งท้ายงานบริษัทเอกชนก่อนจะผันตัวเองมารับราชการอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิบวันนั้นเองที่ทำให้ชีวิตของเธอเซถลาเหมือนนกปีกหักอยู่พักใหญ่ เพราะหนุ่มที่เธอหลงผิดคิดว่าเขานั่นแหละ “ใช่” เขากลับมีใครซ่อนเอาไว้ไม่ให้เธอรู้จนอยู่ๆ ก็มีข่าวเข้าหูว่าเขาจะแต่งงาน เธอแทบลมจับ กว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ ต้องอ่านหนังสือของ “นิ้วกลม” ปลอบใจอยู่หลายเล่ม

แต่การเดินทางครั้งนั้นเองที่ทำให้เธอหลงไหลในรสชาดการผจญภัย อกหักครั้งต่อมาเธอจึงเลือกหลับตาจิ้มแผนที่โลกแล้วเดินทางไปยังประเทศนั้นเพื่อรักษาแผลใจ – เยอรมนีคือประเทศที่นิ้วชี้จิ้มลงไป แต่คิวปิดใจร้ายก็ผลักใสให้เธอได้รู้จักกับนักเรียนทุนของกองทัพบกตกหลุมรักกันอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้หายดีจากที่ช้ำครั้งก่อน…

เหมือนจะป๊อบปูลาร์ แต่ที่จริงแล้วเธอเป็นเพียงแค่หญิงสาวหน้าตาธรรมดามาก และรู้ตัวว่าไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากเป็นคนดี แล้วไงล่ะ? ความรักไม่เคยเลือกยากดีมีจน หรือคนสวยคนขี้ริ้วอยู่แล้วนี่ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ความรู้สึกดีๆ ของสองคนต่างหาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ทฤษฎีนี้บางทีแล้วอาจจะใช้กับความรักไม่ได้ เพราะสุดท้าย (จริงๆ) นักเรียนทุนของกองทัพบกก็ไปตกหลุมรัก (ใหม่) กับใครสักคนที่เธอก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเธอคนนั้น ผอม สูง ขาวและสวย เธอก็รู้ตัวเองเลยทันทีว่าแพ้ตั้งแต่ “ผอม” แล้ว…

นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่สองนอกจากนิชคุณก็เป็นได้ ที่ทำให้เธอเลือกไปวิ่งที่สวนรถไฟหลังฝนตกในวันนี้

หญิงสาวมองดูนาฬิกาข้อมือ และขณะเดียวกันนั้นเพลงชาติไทยก็ดังขึ้นบอกว่าเป็นเวลาสิบแปดนาฬิกา ทุกชีวิต ณ เวลานั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อยืนเคารพธงชาติที่เป็นสัญลักษณ์แทน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และบรรพบุรุษที่ได้สละชีพเพื่อให้ชาติได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ หลังเพลงชาติจบ เธอเดินตัดสนามหญ้าข้ามมาที่ลานจอดรถ มีร้านขายอาหารมากมายที่ยังเปิดบริการอยู่ เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เดิน “ปรี่” เข้าไปหาของกินอย่างที่เคยเป็นเมื่อเห็นร้านอาหารหรือร้านขนม… แรงฮึดนี้ ไม่ใช่เพราะนิชคุณ แต่เป็นเพราะ “น้องคนนั้น” ที่ผอม สูง ขาว สวย นั่นต่างหาก

ภาพยนตร์ รักเจ็ดปีดีเจ็ดหนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปดู แต่เมื่อได้ดูแล้วก็ไม่รู้สึกเสียดายค่าตั๋วเลยแม้แต่สักน้อย ทั้งรอยยิ้ม เสียหัวเราะ และแม้กระทั่งน้ำตา หนังเรื่องนี้ก็มีให้ครบรส ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่เหตุผลที่ทำให้คนเราวิ่งมาราธอน แต่คงมีไม่กี่เหตุผลที่ทำให้คนเราวิ่งตอนห้าโมงเย็น

วันต่อมา หลังเลิกงาน โดยปกติแล้วเธอมักจะตรงดิ่งกลับบ้าน ทำงานบ้าน ดูหนัง อ่านหนังสือ เล่นเน็ต จบอยู่แค่นั้น ไม่มีคำว่า “ออกกำลังกาย” เข้ามาป้วนเปี้ยนในวิถีชีวิตเลยแม้สักน้อย แต่หลังจากเมื่อวาน เสื้อกีฬา รองเท้าวิ่ง และกางเกงสำหรับเล่นกีฬาถูกนำออกมาใช้งานอย่างจริงจังหลังจากที่เคยใช้เพียงปีละสองหนสำหรับทดสอบร่างกายตามระเบียบของที่ทำงาน

“ไง… วันนี้คุณมาเร็วกว่าเมื่อวานนะ”
ดูเหมือนเขาจะรอเธออยู่ เพราะทันทีที่เธอผ่านประตูรั้วของสวนรถไฟเข้ามา ก็เจอเขากำลังวอร์มอัพ อยู่ก่อนแล้ว

“ก็วันนี้ฝนไม่ตกนี่คะ”

“ถ้าฝนตกคุณก็คงไม่มาแล้วใช่มั้ย”

“ก็แหงสิคะ ใครจะบ้ามาออกกำลังกายตอนฝนตก”

“มีโรงยิมสำหรับกีฬาในร่ม ฝนตกก็ไม่ใช่ปัญหาของผม ว่าแต่ คุณตอบผมได้หรือยังว่าทำไมคุณถึงมาวิ่ง”

“ทำไมคุณถึงอยากรู้ล่ะคะ”

“คนเรามักต้องมีแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรสักอย่างเสมอ”

“ฉันก็แค่อยากผอม”

“อะไรนะครับ”

“ใช่… ฉันก็แค่อยากผอม เพราะฉันรู้สึกว่าฉันอ้วนเกินไป”

“ถ้าคุณอยากผอม ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าคุณอยากแข็งแรง ผมช่วยคุณได้”

“ฉันแข็งแรงดีแล้ว”

“คุณวิ่งมาแค่แปดร้อยเมตรแต่คุณก็หอบแฮ่กเป็นหมาหอบแดดแล้ว ถ้าคุณต้องวิ่งมาราธอน เหมือนในหนัง คุณจะทำได้เหรอ”

“คุณไปดูหนังมาเหรอคะ”

“ผมก็อยากรู้เหมือนกันนี่ ว่าใครคือนิชคุณ”

“แล้วเหตุผลที่คุณวิ่งล่ะคะ”

“ผมก็แค่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายมันทำให้สมองปลอดโปร่ง และร่างกายแข็งแรง”

“ฉันเชื่อว่าคุณแข็งแรงจริง”

รูปร่างสูงและกล้ามเนื้อที่แน่นตึงตามแบบของคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำทำให้ไม่มีข้อกังขาเลยแม้แต่น้อยว่าเขาต้องเป็นคนเล่นกีฬาเป็นกิจวัตร

“คุณอยากวิ่งมาราธอนเหมือนในหนังเหรอครับ”

“ก็บอกแล้วไง ฉันแค่อยากผอม”

“มีใครบอกว่าคุณอ้วนงั้นเหรอ”

“ไม่มีหรอกค่ะ”

“งั้นคุณต้องอกหักมาแหงๆ ในหนังน่ะ สามีของนางเอกตายนี่ แล้วคุณล่ะ แฟนคุณตายเหรอ”

“บ้า…”

เธอหยุดทุกประโยคไว้เท่านั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป จังหวะฝีเท้าคงที่ การหายใจเริ่มนิ่ง ไม่หอบ และไม่แสบคออีกแล้ว เธอเริ่มวิ่งได้ไกลขึ้น และเมื่อเริ่มเหนื่อย ก็จะเปลี่ยนจากการวิ่งมาเป็นการเดินเร็ว และค่อยๆ เดินช้าลง เธอบอกตัวเองว่า เธอไม่ได้วิ่งเพื่อที่จะไปแข่งกับใคร เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งเอาเป็นเอาตาย เธอไม่ได้วิ่งจับเวลาเพื่อให้ได้คะแนนแปดสิบเปอร์เซ็นตามกติกาการทดสอบร่างกายของที่ทำงาน แต่เธอก็หาเหตุผลดีๆ มาอ้างไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องวิ่ง… เพราะนิชคุณหรือเพราะอยากผอม? ที่จริงแล้วก็ไม่น่าจะใช่ทั้งสองอย่าง

เมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เธอก็หยุดวิ่งเสียดื้อๆ

“อ้าว หยุดทำไม เหนื่อยแล้วเหรอ”

“เปล่าค่ะ ฉันแค่กำลังถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วฉันมาวิ่งทำไม”

“ก็คุณบอกว่าคุณอยากผอม แล้วก็เป็นเพราะนิชคุณไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่… แต่มันยังไม่ทั้งหมด ฉันก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าเพราะอะไร”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้คุณค่อยมาบอกผม คืนนี้คุณกลับไปคิดก่อนก็แล้วกัน… ผมกลับก่อนล่ะนะ บาย เจอกันพรุ่งนี้” แล้วเขาก็ทิ้งไว้แต่แผ่นหลังกว้างๆ ให้เธอมองตาม…

เธอรู้จักเขา แต่เราไม่สนิทกัน เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารู้จักเขาที่ไหน ชื่อของเขาเธอยังจำไม่ได้เลย เอ.. หรือบางทีเขาอาจจะไม่เคยบอก ก็คงเหมือนกับในหนังรักเจ็ดปีดีเจ็ดหนนั่นแหละมั้ง ที่พระเอกเองก็ไม่เคยบอกชื่อของเขากับนางเอกเลย สัมพันธภาพของพระเอก กับนางเอกจบลงอย่างแฮปปี้ แต่นั่นมันเป็นภาพยนตร์ ในชีวิตจริง คงไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่ผู้หญิงอายุสี่สิบสองจะมีแฟนอายุยี่สิบสี่ได้อย่างราบรื่น… เขาคงไม่อยากชงแอนลีนให้เธอดื่มเท่าไหร่นักหรอก

ห้าโมงเย็นของอีกวัน การวิ่งที่สวนรถไฟถูกบรรจุลงในแผนการใช้ชีวิตของหญิงสาวไปเรียบร้อย สำหรับโปรแกรมการใช้ชีวิตในแต่ละวันแล้วนอกจากเรื่องงาน เธอต้องหาเวลาออกกำลังกายและเลิกที่จะเดิน “ปรี่” เข้าหาอาหาร หรือร้านขนมเค้กอย่างที่เคยเป็น

“หวัดดี วันนี้คุณมาเร็วนี่”

“กลัวฝนตก เลยรีบมา แล้วคุณล่ะคะ ทำไมถึงมาเร็วจัง”

“บ้านผมอยู่แถวนี้เอง”

“ฉันขอโทษนะ ฉันรู้ว่าเรารู้จักกัน แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเรารู้จักกันที่ไหนและรู้จักกันได้ยังไง”

“นั่นไง นึกอยู่แล้วคุณต้องจำผมไม่ได้ คุณเคยไปตรวจการฝึกและศึกษาที่หน่วยของผม ผมเนี่ยแหละเจ้าหน้าที่รับตรวจ คุณก็ตรวจละเอียดยิบน่าดูคะแนนของหน่วยผมลดฮวบเลย”

“จริงเหรอคะ จำไม่ได้ ไปมาหลายที่มาก เจอคนเยอะมาก จำไม่ได้จริงๆ แต่คุ้นๆ ว่าเคยเจอ”

“ถ้าจะเอาให้แม่นๆ คือ ผมเป็นนักเรียนทุนประเทศจีนที่กำลังจะเดินทางเดือนสิงหาคมนี้”

“อ้อ…. คุณนั่นเอง เพิ่งไปดำเนินการเรื่องการเดินทางมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วใช่มั้ย”

“ผมว่าคุณควรออกกำลังกายสม่ำเสมอกว่านี้ เพราะมันจะทำให้คุณความจำดีขึ้น”

“เออน่า… ฉันก็พยายามอยู่นี่ไง”

“วันนี้ผมจะชวนคุณไปเล่นกีฬาอย่างอื่น ไปมั้ยเล่นกีฬาในร่มกัน”

“เฮ่ย..”

“คิดลึกนะคุณเนี่ย… ผมจะชวนคุณไปเล่นปิงปอง โอเคมั้ย”

“ทำไมถึงเลือกปิงปอง”

“วันนี้ผมไม่ได้เอาไม้แบดมา ก็แค่นั้นเอง”

“โอเคค่ะ”

“กีฬาปิงปอง เป็นกีฬาที่อาศัยทักษะความว่องไว ตาไว ไหวพริบดี มันจะทำให้ประสาททุกส่วนของคุณได้ทำงานอย่างเต็มที่ บางทีถ้าคุณได้เล่นกีฬาหลายๆ ประเภท แล้วหาที่ชอบสำหรับตัวคุณเองได้ คุณอาจจะหลงรักการเล่นกีฬา”

“หรือบางทีก็อาจจะทำให้ฉันรู้สาเหตุที่แท้จริงของการเลือกออกมาวิ่งแทนการอยู่บ้าน ดูซีรีย์เกาหลี”

“นี่ชีวิตคุณมีอยู่แค่นี้เองเหรอ”

“ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากนางเอกเรื่องนั้นหรอก”

“แฟนตาย”

“แหน่ะ… ยังไม่เลิก, แฟนฉันไม่ได้ตายย่ะ แค่เขานอกใจฉันแล้วไปมีคนอื่นเท่านั้นเอง”

“ชัดเลย นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมาวิ่ง”

“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่มันก็เล็กน้อยนะ แรงบันดาลใจแรกที่ทำให้ฉันออกมาวิ่งเพราะหนังเรื่องรักเจ็ดปี ส่วนเหตุผลสนับสนุนก็อาจเพราะฉันรู้สึกว่าเพราะฉันอ้วน แฟนฉันถึงได้ทิ้งไปมีคนใหม่ ฉันเลยอยากเอาชนะเขาเท่านั้นเอง”

“แล้วทำไมคุณไม่เลือกมีแฟนใหม่แทนล่ะครับ”

“แฟนนะคุณ ไม่ใช่ปลาทูในตลาดจะได้หากันง่ายๆ ก็ฉันอ้วน เตี้ย ดำ ไม่สวย รวมแล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง ใครจะมารักคนอย่างฉันกันล่ะ”

“พระเจ้าไม่สร้างคนมาเกินหรอก เชื่อดิ ยังไงพระเจ้าก็จะทำให้เนื้อคู่มาพบกันจนได้”

“คุณจะบอกว่าคุณคือคนที่พระเจ้าสร้างมาสำหรับฉัน ไม่ใช่ละ ดูจากหน้าตา และอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบแปด ที่จริงคุณน่าจะเรียกฉันว่าพี่ หรือ รุ่นพี่ หรือผู้กองถึงจะถูก เพราะคุณน่ะเด็กกว่าฉันแน่นอน”

“ขอบคุณขอรับที่ชมว่าผมหน้าเด็ก นั่นเป็นเพราะผมออกกำลังกายสม่ำเสมอ เล่นเวท วิ่ง ปิงปอง และ ไม่กินขนมเค้ก เหมือนที่คุณกำลังจิ้มเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยนี่” ดูเหมือนเหตุการณ์ที่ดำเนินไปนั้น หญิงสาวเองก็ “ลืมตัว” เธอเปลี่ยนจากวิ่งและปิงปอง มาเข้าร้านกาแฟ สั่งวานิลลาเครปราดสตอเบอรี่ไซรัป กับชามะนาวมาวางตรงหน้า ขณะที่เขาสั่งน้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็ง

“ขอวันนึง”

“แล้วแบบนี้จะผอมได้ยังไง คุณไม่ได้รักตัวเองนี่นา”

“ฉันไม่ได้คิดจะวิ่งเอาเป็นเอาตาย หรือออกกำลังกายเอาเหรียญทองหรอกนะ ฉันแค่อยากผอม”

“คุณพูดคำว่าอยากผอมมาหลายครั้งแล้ว แต่คุณไม่เคยห้ามตัวเองได้เลยที่จะหยุดกิน ถ้าคุณยังเอาชนะตัวเองไม่ได้แล้วคุณจะผอมได้ยังไง” ประโยคเจ็บปวดนั้นทำให้เธอแทบจะกลืนเค้กไม่ลงเลยทีเดียว

“งั้นเดี๋ยวไปวิ่งต่ออีกสองรอบ”

“มันจะช่วยอะไรได้เนี่ย”

“แล้วจะวิ่งเป็นเพื่อนมั้ยล่ะคะ” เขายักไหล่ รอยยิ้มแรกของเธอนี่เองล่ะมั้งที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะ “อยู่ต่อ” แทนการกลับไปเตรียมตัวสำหรับสิ่งสำคัญของตัวเขาเอง

สัมพันธภาพระหว่างเธอกับเขาก็คงจะคล้ายๆ กับพระเอก นางเอกในหนังรักเจ็ดปีดีเจ็ดหนนั่นแหละ จะต่างก็เพียงแค่เขาไม่ได้คิดกับเธอมากกว่าคนรู้จักกัน และเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่านั้นแม้จะอยู่ใกล้กันในระยะประชิด ไม่มีอาการของการเต้นผิดปกติของหัวใจ ไม่มีความเคลื่อนไหวของเส้นเลือดฝาดในใบหูและใบหน้า ไม่มีการทำงานผิดปกติของแววตา และดูเหมือนว่าทีท่าก็ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย ดังนั้นเธอจึงฟันธงเน้นๆ ได้ว่า ระยะเวลาสองสัปดาห์ กับอีกสามวันที่พบกันนั้น เขาเป็นเพียง “เพื่อนร่วมวิ่ง” ของเธอเท่านั้นจริงๆ

“พรุ่งนี้ มาวิ่งด้วยกันอีกนะ” วันที่สี่ของสัปดาห์ที่สามหลังจากที่เธอเริ่มวิ่ง เขาไม่รับปากนอกจากวิ่งห่างเธอออกไป และโบกมือให้ไม่หันกลับมาอีก เธอรู้สึกแปลกๆ ที่เขาดูแปลกๆ

ในเช้าของวันทำงาน เพื่อนร่วมงานเดินมาทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“ดูพี่กระฉับกระเฉงขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา เดี๋ยวนี้เดินขึ้นบันไดตัวปลิวเลย”

“อาจจะเพราะสองสามสัปดาห์นี้ไปวิ่งทุกเย็นล่ะมั้ง น้องเพ้นท์กำลังจะไปไหนคะเนี่ย ให้พี่ช่วยอะไรมั้ย”

“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีกำลังจะประกาศรับสมัครนักเรียนทุนจีนอีกครั้งน่ะคะ คนเดิมเค้าเพิ่งสละสิทธิ์ไป”

“อ้าว ทำไมถึงสละสิทธิ์ล่ะ”

“เขาสอบนักบินได้ จะเดินทางไปเรียนที่อเมริกาแล้วล่ะค่ะ เนี่ยค่ะ คนนี้”เพื่อนร่วมงานยื่นเอกสารมาให้ดู ภาพสองนิ้วครึ่งที่ติดอยู่ในใบประวัตินั้นเธอจำได้แม่นว่าเป็นเขา….

หญิงสาวยังจำประโยคที่บอกเขาไปเมื่อวานได้แม่น “พรุ่งนี้ มาวิ่งด้วยกันอีกนะ” เพราะเธอรู้แล้วว่าสาเหตุที่เธอบังคับตัวเองออกจากบ้านมาวิ่งทุกวันนั้นเพราะเหตุใด เย็นนั้นเธอวิ่งเกินสามรอบ รอบละสองกิโลเมตร วิ่งเพื่อ “รอ” ว่าเขาจะมา… แต่เธอก็ผิดหวัง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่เธอกำลังจะกลับ…

“ผมขอเบอร์คุณมาจากเพ้นท์ ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ไปวิ่งกับคุณอีก ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินอีกสองชั่วโมงเครื่องจะออกแล้ว ขอโทษอีกครั้งที่ไม่ได้บอกเรื่องที่จะเดินทาง” ณ เวลานั้น เธอเปลี่ยนเส้นทางจากการกลับบ้านเป็นขึ้นทางด่วนตรงไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเพียงเพื่อจะบอกเขาว่า….

“ฉันแค่อยากเอาชนะตัวเอง – ฉันไม่เคยบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายได้เลย นี่อาจจะเป็นครั้งแรก ที่ฉันบังคับตัวเองแล้วทำมันได้สำเร็จ ขอบคุณมากนะที่วิ่งเป็นเพื่อนกัน”

แรงบันดาลใจ : หนุ่มคนนี้

และภาพยนตร์ รัก 7 ปี ดี 7 หน  GTH

Read Full Post »

“ผม” นั่งอยู่บนรถไฟ และกำลังเดินทางไปยังปลายทางที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่

ไปเพื่อตามหาหัวใจ ที่ได้จากไปพร้อมกับการจากไปของคนที่รักผม

เสียงของล้อเหล็กกระทบราง มันบาดหูจนต้องเพิ่มโวลลุ่มของเครื่องเล่นเพลงที่เสียบอยู่ในหู บางครั้งเพลงบางเพลงก็ฟังแล้วน้ำตาไหลแม้ในเวลานั้นจะมากมายไปด้วยใครๆ แต่เหมือนโลกทั้งโลก ไร้แม้ใครสักคน… อ่านหนังสือบางเล่มซ้ำไปซ้ำมาในบรรทัดเดิมแต่ไม่รู้ในเนื้อหาของมัน สายลมพัดปะทะผิวกายก็หนาวเยือกไปทั้งใจทั้งที่อยู่ในท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างมาด้วยกัน นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด
แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน… เพราะเธอ

เพลงนี้เองที่ทำให้ต้องฟังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนจำได้ขึ้นใจ… อาจเพราะเรื่องราวในเพลงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้นั้นมันตรงกันเกินไปก็ได้

ผมไม่ได้ชอบการอยู่คนเดียวแต่ผมคุ้นชินกับการอยู่คนเดียว ตื่นเช้า ไปทำงาน ตั้งใจทำงาน กลับบ้าน ดูหนัง ฟังเพลง และในบางวาระเวลาก็หาโอกาสสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูงตามประสาหนุ่มโสดที่มีชีวิตเกือบตลอดเวลาอยู่กับความโดดเดี่ยว… หลังจากผู้หญิงคนที่อยู่ด้วยกันนานที่สุดในชีวิตหิ้วกระเป๋าเดินจากไปด้วยเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ “มีคนอื่นที่เขารักฉันเท่าๆ กับคุณ แต่เขาสามารถรับผิดชอบชีวิตของฉันได้มากกว่าคุณ” เวลานั้นผมหูอื้อที่ความโง่เง่ากระโดดตีเข่าใส่เข้าหน้าท้องเต็มๆ จนจุกร้าวไปถึงสันหลัง

แล้วความเดียวดายก็เดินเข้ามาทักทายพร้อมความอิสรเสรี ผมใช้ชีวิตเต็มที่อีกครั้ง โดยไม่แยแสอะไรในโลกนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกที่ผมจะเชื่อว่าเธอจริงใจ ไม่เคยมีใครทำให้ผมเอ่ยคำว่ารักด้วยความรู้สึกนั้นจริงๆ อีกเลยสักครั้งนับแต่นั้น เธอทุกคนเป็นเพียงเครื่องมือในการแบ่งเบาปัญหาเรื่องสัมพันธภาพเพื่อทดสอบศักยภาพความเป็นผู้ชายของตัวเองเท่านั้น

จนกระทั่งผมได้พบกับเธอและกลายเป็นตัวประกอบในฉากที่ไม่มีพระเอกของเรื่องราวในชีวิตเธอ เธอบอกเล่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟังขณะที่เดินอยู่ริมทะเลไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ชายหาดที่ทอดยาวไม่ได้ทำให้ความเศร้าเธอลดลงไป และผมก็เป็นได้เพียงตัวประกอบเดินอยู่ข้างๆ ฟังเรื่องราวที่เธอเล่าถึงอีกคน ในเวลานั้นผมเพียงแค่ความรู้สึกหมิ่นแคลนในความอ่อนแอของเธอ ความรักที่มากเกินไปจนดูกลายเป็นความงมงายและโง่เง่า ผมไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงสิ่งที่เธอบอกว่า “เขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของฉัน” ในเวลานั้นผมไม่ได้คิดจะรับเธอเข้ามาในชีวิตสักนิดเดียว แต่ผมก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ ผู้หญิงบางคนก็อ่อนไหวจนน่าเตะ ดังนั้นต่อมาผมจึงกลายเป็นพลาสเตอร์ยาที่คอยปิดแผลปกป้องเชื้อโรคเท่านั้น… อาจเพราะผมหวงแหนความโดดเดี่ยว แต่ก็ลิงโลดใจเมื่อมีเธออยู่ใกล้ ผมไม่อยากให้ใครมาเกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิต แต่ผมก็คิดถึงเธอ เมื่อไม่ได้เจอหน้า

คนเหงาสองคนมาพบกัน…พวกเขาเหมือนรู้จักกันมาทั้งชีวิต

เธอไม่มีใครแล้ว และคนที่ผมมีก็จากไปแล้ว นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายต่อการสานสัมพันธ์ นานชั่วลมหายใจเข้าออกเพียงไม่ถึงเดือน เราก็กลายเป็นคู่รักที่เดินจูงมือกันริมทะเลได้โดยไม่เหลือรอยน้ำตาเปื้อนอยู่บนใบหน้าของเธออีก แต่บางครั้งความรักก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดและยิ่งยากเข้าไปอีกเมื่อความรักคือการมีใครอีกคนเข้ามาในชีวิต เราอาจต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อแลกกับอะไรสักอย่าง และแม้สิ่งที่หายไปบ้างจะหมายถึง “โลกส่วนตัว” ก็ตาม สำหรับผมกับเธอ กว่าที่เราจะก้าวข้ามเรื่องราววุ่นวายต่างๆ มาด้วยกันถึงวันนี้ เราต่างก็ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทั้งความไม่เข้าใจ การปรับความเข้าใจ ความสับสนมาจนถึงเหตุผล หลายอย่างเราปรับตัว หลายเรื่องเราต่างฝืนใจก็เพื่อใครอีกคน

แต่ท้ายที่สุดต่างก็ไม่สามารถที่จะยอมรับได้ในสิ่งที่อีกคนเป็นจริงๆ

“ขอผมได้หยุดหายใจบ้างเถอะ วันหยุดทั้งที ผมก็อยากพักผ่อนบ้าง แต่นี่ผมต้องทำในสิ่งที่ผมไม่ได้อยากทำเลยสักนิด ผมเบื่อ” เธอเป็นศิลปิน บ่อยครั้งที่เธอต้องไปแสดงผลงานศิลปะและผมต้องเป็นใครสักคนที่คอยติดสอยห้อยตามเธอไป… เพียงเพราะไม่อยากขัดใจเธอ

“นะค้า…คนดี ไปเป็นเพื่อนกันเดี๋ยวเดียวเอง แล้วเราค่อยไปดูหนังกัน ดีมั้ย” และจากที่ไปเป็นเพื่อน ก็กลายเป็นไปรู้จักเพื่อนๆ ของเธอ ที่ผมมักจะกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวในทุกครั้งที่พวกเธอคุยกัน ไม่ใช่ว่าเธอจะทำให้ผมกลายเป็นส่วนเกิน แต่ผมเองต่างหากที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งที่เกินมา เธอคุยเรื่อง Abstract Art เรื่องประกวดภาพเขียนที่ชิคาโก ราคาภาพเขียน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสนใจและยุ่งยากต่อการทำความเข้าใจ ผมต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของผมตลอดมา

เพียงเพราะไม่อยากขัดใจเธอ

จนกระทั่งเมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่กับผม ใช้เตียงนอนร่วมกัน ใช้ห้องน้ำด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ใช้แก้วน้ำใบเดียวกัน เรากลายเป็นครอบครัวโดยพฤตินัย ผมรู้ว่าเธอรักผมมาก และนั่นกลายเป็นข้อต่อรองลึกๆ ที่ทำให้ผมใช้เป็นเครื่องมือเมื่อรู้สึกว่าเธอ “ไม่ได้ดั่งใจ”

“ตื่นเถอะนะคะ สายแล้ว คุณต้องไปทำงานนะ”

“ไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันนะ”

“ทานข้าวหรือยังคะ เที่ยงแล้ว เดี๋ยวจะหิวนะ”

ทุกประโยคนั้นมาจากความรัก ความหวังดี อย่างแท้จริง นานแล้วที่ไม่มีใครคอยพูดประโยคเหล่านี้ กับผม แรกๆ ก็ฟังดูเข้าท่าดีเหมือนกันที่มีคนคอยเป็นห่วงเป็นใย แต่นานเข้าประโยคดีๆ เหล่านั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ น่าเบื่อ และท้ายที่สุดผมก็ทนไม่ได้

“เมื่อก่อนตอนที่ไม่มีคุณผมก็ตื่นเวลานี้ตลอด”

“ผมรู้ว่าเวลาไหนต้องอาบน้ำ ต้องไปทำงาน ไม่ต้องพูดซ้ำซากได้มั้ย”

“จะโทฯ มาทำไมทุกวัน ถ้าหิว ผมก็ไม่หิ้วท้องรอใครทั้งนั้นแหละ”

ผมได้เธอมาโดยไม่คิดว่าจะมีวันที่เธอจะจากผมไป…ผมเชื่อว่าอย่างนั้น เธอเจ็บปวดในประโยคเหล่านั้น แต่เธอก็อดทนกับมันเพราะคำเพียงคำเดียว “ความรัก” ผมไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงถึงได้ให้ความสำคัญกับคำๆ นี้มากมายเหลือเกิน สำหรับผมแล้ว คำคำนี้มันได้ล้มหายตายลงไปตั้งแต่เธอคนก่อนจากไปแล้วโน่นแล้ว และสำหรับเธอคนนี้ก็เพียงแค่ความเหงาที่ทำให้เราสองคนมาพบกัน ไม่ได้เริ่มต้นที่เรารักกัน ทั้งหมดเป็นแค่เกมวัดใจของพระเจ้าเพียงเพื่อจะทดสอบความอ่อนโยนในหัวใจผมเท่านั้น แต่แล้วพระเจ้าก็ชนะขาดลอย เพราะไม่ว่าใครก็เปลี่ยนหัวใจที่แข็งกระด้างของผมไม่ได้ ไม่ว่าอะไรก็เปลี่ยนความกร้านหยาบของหัวใจผมไม่ได้ แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” ก็ตาม

และสุดท้าย… ผมก็รักษาเธอเอาไว้ไม่ได้

เธอไม่ได้จากผมไปเพราะเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่เพราะมีใครคนใหม่ที่รักเธอได้เท่าๆ กับผม แต่รับผิดชอบชีวิตเธอได้ดีกว่าผม หากแต่เป็นเพราะเธอรู้ว่าความจริงใจของเธอที่ให้ผมมานั้นไม่ได้ต่างไปจากการถมทะเลด้วยน้ำตา เธอบอบช้ำมาและผมเป็นยาสมานใจ แต่สุดท้ายเธอก็เจ็บหนักกว่าเดิม เพราะนอกจากแผลเก่าจะไม่หายแล้วเธอยังได้แผลใหม่เพิ่มมาอีกรอย

“เธอ” นั่งอยู่บนรถไฟ และกำลังเดินทางไปยังปลายทางที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่

ไปเพื่อหนีให้พ้นจากความร้าวรานใจ จากการถูกทำร้ายหัวใจโดยคนที่เธอรัก
เสียงของล้อเหล็กกระทบราง มันบาดหูจนต้องเพิ่มโวลลุ่มของเครื่องเล่นเพลงที่เสียบอยู่ในหู บางครั้งเพลงบางเพลงก็ฟังแล้วน้ำตาไหลแม้ในเวลานั้นจะมากมายไปด้วยใครๆ แต่เหมือนโลกทั้งโลก ไร้แม้ใครสักคน… อ่านหนังสือบางเล่มซ้ำไปซ้ำมาในบรรทัดเดิมแต่ไม่รู้ในเนื้อหาของมัน สายลมพัดปะทะผิวกายก็หนาวเยือกไปทั้งใจทั้งที่อยู่ในท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า

ฉันนั้นไม่ได้มีเธออยู่ข้างๆ เหมือนวันที่เราเคยเดินข้ามผ่าน
ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างมาด้วยกัน นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด
แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน… เพราะเธอ

…ท้ายที่สุดเราต่างก็กลับมาอยู่กับตัวเอง

ที่จริง ความเหงามันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่นักหรอก ถ้าคุ้นเคยกับมันดีพอ… /

 

 

 

Read Full Post »

หนังสือเล่มนั้นชื่อ “สายลมอุ่นในฤดูหนาว” เป็นสมุดบันทึกทำมือเล่มสีฟ้าที่คนทำบอกว่าใช้เวลาหารูปประกอบนานกว่าใช้เวลาเขียน มันถูกวางลงในกล่องเก็บของเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนจะปิดฝาลง คนที่ยืนมองดูอยู่เอ่ยขึ้น

“ถ้าลำบากใจ…ก็น่าจะเก็บไว้”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บางอย่างก็ควรเป็นเพียงความทรงจำที่ดี ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ เราควรจะเคลียร์ตัวเองให้ใสสะอาด ถ้าหากคิดจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่”

ผมเพียงแต่ถอนหายใจแผ่วเบา… ผมรู้ดี ไม่มีอะไรที่จะรักษาใจได้ดีไปกว่า เวลา และกำลังใจ แม้แต่ผมก็เป็นได้แค่ “ยา” ซึ่งบางครั้งเธอก็ปฏิเสธที่จะใช้เพื่อการรักษา แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าการที่ได้อยู่ใกล้กับเธอตลอดเวลา แค่ได้ใกล้ก็เป็นสุขใจมากนักแล้ว

“ต้องขอโทษที่รบกวน ขาไป อาจจะไม่เป็นไรนัก แต่ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้หรือเปล่า บางทีอาจจะเศร้าเกินกว่าที่จะดูแลตัวเองได้” ในเวลานั้นเกือบสองทุ่มแล้วที่เธอโทรศัพท์มาหา เธอขอให้ไปเป็นเพื่อน… ไปธุระที่ต่างจังหวัด ผมไม่รู้ว่าธุระนั้นคืออะไร และไม่ได้สนใจมากไปกว่าการได้อยู่ใกล้ๆเธอ แม้เวลานั้นจะไม่ว่างผมก็จะว่างเพื่อเธอ แม้ในเวลานั้นจะเหนื่อยผมก็จะหายเหนื่อยเพื่อเธอ และถึงแม้เวลานั้นจะเศร้า เธอก็จะไม่เห็นความเศร้าจากผม…

“เขาบอกเราว่า ไม่ว่าจะวันนี้หรือปีหน้าก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิม เคยเป็นเพื่อนยังไงก็เป็นได้เท่านั้น เราเหนื่อยมากแล้ว หลายปีที่เราพยายามทำทุกอย่างด้วยความรักเพื่อให้เขารักเราบ้างอย่างที่เรารักเขาแต่ก็ไม่ต่างจากถมทะเลด้วยน้ำตา”

“แล้วทำไมต้องไปหาเขาด้วย” ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปชลบุรีอาจจะไม่ไกลนัก ถ้าไปด้วยความหวัง ความตั้งใจ หรือกระทั่งไปด้วยความรัก แต่ถ้าหากไปด้วยความเศร้า ระยะทางเท่ากัน อาจจะไกลไม่เท่ากัน

“เราไม่ได้เจอเขานานแล้ว เราอยากเจอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะไปจากชีวิตเขา”

“น่าเสียดาย มิตรภาพดีๆ”

“ถ้าเรายังติดต่อกันอยู่แบบนี้ ทำงานร่วมกันอย่างนี้ เราก็ไม่มีทางตัดใจจากเขาได้ ใช่ว่าไม่เคยทำ แต่เราทำไม่เคยได้เลยต่างหาก และถ้าเรายังผูกใจไว้กับขาของอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีวันที่เราจะมีตาไว้มองใครเป็นแน่”
ผมทำได้เพียงแต่เงียบ และคอยฟัง… เธอเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังในระหว่างเดินทาง น้ำตาเธอไหลเป็นสายอาบแก้ม

“ให้ผมขับให้มั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เรายังไหว แค่นั่งเป็นเพื่อนเราเท่านั้นก็พอแล้ว”

“ผ้าเช็ดหน้ามั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เล็กน้อย เป็นทหารต้องอดทน” ประโยคหลังเหมือนจะตั้งใจบอกตัวเอง ในสายตาผมเธอเป็นคนเข้มแข็ง อาจเพราะเครื่องแบบที่เธอสวมอยู่ก็ได้ ทำให้เธอดูกร้าวและห้าวหาญ คงเพราะรอยยิ้มกับมิตรภาพของเธอที่หยิบยื่นมาให้ ทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นประหลาด… และนั่นทำให้ผมสนใจที่จะทำความรู้จักเธอ อยากรู้จักทั้งที่ก็มองไม่เห็นความรักเลยสักนิดนั่นแหละ และยิ่งได้รู้จักเธอมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกชอบเธอมากขึ้นเท่านั้น และมันก็กลายเป็นความรักไปตั้งแต่เมื่อใดก็สุดเดา รู้เพียงว่าตื่นขึ้นมาในทุกเช้าคนที่ผมนึกถึงเป็นคนแรกคือเธอ และกว่าจะหลับตาลงได้ในแต่ละวัน ก็มีแต่เธอเท่านั้นที่ผมต้องการจะฝันถึง

ผมมีความรัก แต่ผมไม่มีคนรัก

“ให้ผมลงไปเป็นเพื่อนมั้ย”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณรอแถวๆ นี้แหละ เราไปไม่นานหรอก เราแค่อยากคุยกับเขาแล้วก็เอาของไปคืนเท่านั้นเอง”

“ของอะไรเหรอ”

“อ๋อ ก็ของในกล่อง หนังสือ สมุดบันทึก ซีดี กรอบรูป รูปเขาไง มันอยู่กับเรามาหลายปีแล้วล่ะ แต่วันนี้เราคิดว่ามันไม่ควรจะอยู่กับเราอีกแล้วล่ะ”

“งั้นผมรออยู่แถวนี้นะ เสร็จธุระแล้วค่อยโทฯ ตามก็แล้วกัน”

“ขอบคุณมากที่มาเป็นเพื่อน”
เธอจอดรถและเดินไปหาเขา ผมทำได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ห่างๆ

ใต้ต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความมืดของกลางคืน ผมมองเห็นดาวระยับพราวบนฟ้า นึกถึงเรื่องราวความรักของตัวเองบ้างกับหลายครั้งที่ผ่านมา ผมไม่เคย “รักษารัก” เอาไว้ได้สักครั้ง… บางทีอาจเพราะผมเองที่ไม่ดีพร้อมหรือดีพอที่ใครสักคนจะร่วมชีวิตด้วย แม้แต่คนที่คบหากันมานานจนเกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้ว เขาก็ยังไปจากผม เพียงเพราะว่าผมมีพร้อมไม่เพียงพอที่เขาต้องการ…

ผมถอนหายใจเชื่องช้า ไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าของความรักจะเป็นอย่างไร

“หิวมั้ย”
เป็นคำถามแรกของเธอทันทีที่ขึ้นรถ…

“นิดหน่อย”

“ขอโทษนะที่ไปนาน เมื่อกี้เขาชวนไปกินข้าวแต่เรานึกได้ว่าพาคุณมาด้วย จะกินอะไรดี ไปกินที่ริมทะเลบางแสนกันมั้ย ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว”

“ยังไงก็ได้”
แต่ในใจผมไม่ได้อยากพูดแบบนั้นเลย ผมอยากรู้…เธอกับเขาจบลงแล้วหรือ หรือเรื่องราวมันตรงข้าม บางทีเขาอาจจะบอกรักเธอในวันที่เธอมาบอกลา แล้วเธอเองก็มีความรักให้กับเขาเต็มหัวใจแบบนั้น ทุกอย่างคงสวยงามมากกว่าที่จะโศกเศร้าเป็นแน่…

“ไม่แน่ใจอย่าเดา”
เธอพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้าไปในร้านอาหารริมทะเล หลังอาหารเป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว

“ไปเดินเล่นกันมั้ยคะ”

“เอาสิ”
ผมทำได้เพียงอย่างเดียวในเวลานั้นคือ อยู่เป็นเพื่อนเธอ

“เรายังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ อยู่เป็นเพื่อนเราหน่อยก็แล้วกัน”

“ได้สิ”
แล้วผมก็กลายเป็นตัวประกอบในฉากที่ไม่มีพระเอกของเรื่องราว เธอบอกเล่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟังขณะที่เดินอยู่ริมทะเลไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ชายหาดที่ทอดยาวไม่ได้ทำให้ความเศร้าเธอลดลงไป และผมก็เป็นได้เพียงตัวประกอบเดินอยู่ข้างๆ ฟังเรื่องราวที่เธอเล่าถึงอีกคน…

“เขาเป็นคนในความฝัน เป็นคนในอุดมคติ เป็นทุกอย่างในชีวิตเรา แต่ชีวิตคนเรามันอยู่ในความฝันตลอดเวลาไม่ได้หรอก ใช่มั้ย”
ประโยคที่ฟังแล้วรวดร้าวเข้าไปถึงในใจ รวดร้าวทั้งๆ ที่สัมพันธภาพของเราก็ไม่ได้มากไปกว่าคนรู้จักกันธรรมดานั่นแหละ แต่ก็นั่นแหละนะ การที่ใครสักคนจะเอ่ยออกมาได้ว่าใครอีกคนเป็นทุกอย่างในชีวิตนั้น อาจต้องใช้ความเชื่อมั่นมากทีเดียว เพราะการเป็นทุกอย่างในชีวิตของใครสักคนได้นั้น หมายถึงต้องสำคัญและมีค่าไม่น้อย

“เราอาจจะกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกก็ต่อเมื่อเราตัดใจจากเขาได้แล้วจริงๆ ตอนนี้หัวใจของเราบอบช้ำมาก และมันอาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา”

“ถ้ามียา มันจะหายเร็วขึ้น”

“ไม่มียาขนานใดที่ได้ผลไปกว่ายาที่ชื่อว่า เวลา แล้วก็กำลังใจ”

“ผมเป็นอย่างหลัง…ได้มั้ย”
กว่าจะรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีเพื่อพูดประโยคนี้เพียงประโยคเดียวนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผม และเมื่อเธอได้ยินมัน เธอกลับหัวเราะ… หัวเราะทั้งที่น้ำตานองหน้านั่นแหละ

“ป่ะ เล่นน้ำกัน”
ในชุดเครื่องแบบสนามของเธอที่หนักอึ้งด้วยคอมแบท เธอลากผมลงทะเล…

“อย่าเลย เดี๋ยวไม่สบาย มันดึกแล้ว”

“ทหารน่ะ ไม่กลัวแดดกลัวน้ำหรอก”

“รักตัวเองบ้างก็ได้นะ คนแค่คนเดียว ถึงกับต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้ด้วยเหรอ”
ประโยคนี้ทำให้เธอหยุดยืนแค่เพียงปลายคลื่นที่สาดเข้าหาฝั่ง

“งั้นเดินเล่นกันดีกว่า”
เธอเปลี่ยนจากลงน้ำมาเดินต่อ ระยะทางราวสามกิโลเมตร เราทั้งสองเดินโดยไม่คำนึงถึงปลายทาง ผมไม่รู้ว่าเธอเหนื่อยมั้ย เพราะเธอไม่บ่นแม้สักคำ และเอาแต่เดิน เดิน และเดิน

“ตอนฝึกภาคสนามเราเดินวันละเกือบยี่สิบกิโลทุกวัน”
มิน่าเล่า….

“แล้วต่อไปจะทำยังไง”

“ไม่รู้สิ คงจะอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพักมั้ง ซ่อมใจไง อกหักก็ต้องซ่อมใจ”

“ให้หายดีไวๆ นะ”

“ขอบคุณมากนะ ขอบคุณที่เป็นเพื่อน”

ผมอยากเป็นมากกว่านั้น แต่สิ่งที่เธอหยิบยื่นให้ ไม่มากไปกว่านั้น

“ไม่อยากมีคนรัก ถ้าไม่ได้เกิดจากความรัก”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายของเธอ ประโยคปฏิเสธที่เรียบง่ายแต่เจ็บปวด

เธอจากไปกับความเศร้าและเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นานจนผมเองก็ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวประกอบในฉากความรักที่แสนเศร้าของเธอ แต่ไม่นานพอที่จะทำให้ผมลืมเธอ เพราะผมยังได้รับรู้ข่าวคราวชีวิตการงานของเธอเสมอ แม้จะไม่รู้ว่าหัวใจของเธอเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็ตาม บางทีตอนนี้เธออาจจะมีคนรักใหม่ไปแล้วก็ได้ หรือบางทีอาจจะอยู่ในระหว่างซ่อมใจให้ความรวดร้าวนั้นคลายลง

และผมเองก็ยังเก็บความรักของผมเอาไว้ ไม่บอกใคร ไม่บอกเธอ

เพราะต่อให้หลังจากนี้ไปจะไม่เหลือใครในชีวิตเลย แต่อย่างน้อยก็เคยมีคนที่ผมรัก

 

Read Full Post »

เรื่องสั้นเดือนเมษา : ไม่กี่คำ

มีแค่เพียงคำไม่กี่คำ ที่ทำให้ฉันนั้นลำบากใจ
และก็เก็บกดทุกทุกทีเมื่อเจอเธอครั้งใด
เพราะฉันนั้นรู้ คำหนึ่งคำ นั้นอาจจะทำให้เพื่อนที่เคยชิดใกล้
ต้องห่างและก็อาจจะหายไป

แต่เธอเองจะได้ยินอะไรในใจฉันไหม ได้ยินฉันไหม ว่าอึดอัดใจแค่ไหน
ที่ต้องเก็บกดคำคำนี้ ให้อยู่แค่หัวใจ เพราะไม่กล้าเลยสักที
อยากจะปลดปล่อยคำคำนี้ให้ออกจากข้างใน
แต่ไม่กล้าเลยสักที… ว่าฉันรักเธอเหลือเกิน

“หากเพลงสักเพลงพูดแทนความรู้สึกได้ทั้งหมด… คนเราก็คงไม่มีประโยคใดไว้คุยกัน”
เธอว่าอย่างนั้น เมื่อฟังเพลงบางเพลงแล้วรู้สึกไปกับเพลงนั้น…เธอเป็นคนช่างรู้สึก ช่างอ่อนไหวไปกับสิ่งต่างๆ รอบข้างง่ายดายเสมอ ไม่ว่าจะฝนตก รถติด เด็กเดินตากฝนขายพวงมาลัยหรือยิงกันตายที่ปัตตานี ก็ตาม…

“การบอกรักใครสักคนบางครั้งมันก็ยากเหมือนกันนะ ยากกว่าที่คิดว่ายาก”
เธอรักคนที่เธอรัก แต่เธอไม่อาจบอกเขาไปอย่างที่อยากบอกได้ มันเป็นเรื่องเจ็บปวด รวดร้าวกว่าอะไรทั้งหมด

“ไม่อยากสูญเสีย เพราะรู้ดีว่าจะต้องถูกปฏิเสธ… ไม่แน่ใจว่าจะยอมรับการปฏิเสธได้หรือเปล่า”
นั่นคือเหตุผลที่คำคำนั้นยังคงอยู่ในหัวใจ

“เศร้าดีนะ”

“อื้อ เศร้า แต่ก็มีความสุขดี แค่ได้ใกล้ ได้เห็นความเป็นไป และรับรู้เรื่องราวในชีวิตของคนที่เรารัก บางครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะต่อเติมกำลังใจให้กับวันต่อไปของชีวิต”
เธอพูดทั้งรอยยิ้ม ยิ้มที่ซ่อนความเศร้าไว้ในดวงตา ดูเหมือนเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีกับความเศร้า เรียนรู้ความรวดร้าวจนชาชินและท้ายที่สุดเมื่อตัดขาดกันไม่ได้ ก็เป็นเพื่อนกันไปเสียเลยอย่างนั้น

ความรักของเธอตรงข้ามกับผม

สำหรับผม กับคำไม่กี่คำที่ผู้หญิงคนหนึ่งเคยบอกรัก ผมยังจำมันได้ดีเสมอ เธอบอกรักเพราะเธอรู้สึกว่านั่นเป็นความรัก เธอไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง คิดอย่างไรเธอพูดอย่างนั้น คำพูดกับหัวใจของเธอตรงกัน

“ยิ้มอะไร”
คนที่นั่งข้างกันถามขึ้น

“ผมกำลังนึกถึงเธอ”
เธอที่ว่า คือเธอที่บอกรักผม… เธอไปแล้ว ไปจากชีวิตผมนานพอที่จะทำให้ความรู้สึกบางอย่างตกตะกอน แต่ไม่นานพอที่จะทำให้ผมลืมเธอได้ หรือบางทีอาจเพราะผมไม่เคยพยายามที่จะลืมเธอเลยต่างหาก

“ดีจัง อย่างน้อยเธอก็ทำให้คุณยิ้มได้”

“ผมเองก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

“น่าเสียดายที่เธอเลิกเขียนหนังสือ เธอเป็นนักเขียนที่มีฝีมือ ฉันชอบอ่านงานที่เธอเขียน”

“เป็นเพราะผมทีเดียว”
เป็นเพราะผมจริงๆ สำหรับเหตุผลที่เธอไป ผมยังจำมันได้ดีกับคำไม่กี่คำของเธอ

“ที่คอยทวงงานเขียนอยู่บ่อยๆ มีอยู่สองเหตุผลเท่านั้น คือ หนึ่งอยากคุยด้วย และสองคืออยากฝึกให้เขียนได้ด้วยตัวเอง อยากให้มีชื่อเสียงด้วยตัวเอง ที่ให้ช่วยเขียนงานนั่นน่ะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ เพราะถ้าหากต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เรายังมีมืออาชีพ อีกหลายคนที่เต็มใจช่วยเราอยู่แล้ว ที่เรายังขอให้เขียนด้วยกันนั่นเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราสองคนยังมีเรื่องต้องติดต่อกัน เท่านั้นเอง”
ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายความถึงอะไร ผมรู้สึกแค่ ทุกครั้งที่เธอโทฯ มาหา เธอจะถามผมว่า “เขียนงานไปถึงไหนแล้ว” และลงท้ายด้วยคำว่า “รักจริงๆ เลยผู้ชายคนนี้” ซึ่งคำไม่กี่คำนั่นเองที่ทำให้ผมหงุดหงิด มันเป็นความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่ผมรู้สึกขัดใจในคำว่ารักของเธอ

ผมรู้ว่าเธอรักผม และมันก็มากพอที่ใครคนหนึ่งจะรักใครสักคนได้นั่นแหละ เพราะสิ่งที่แทนคำพูด คือการกระทำของเธอที่แสดงออกให้เห็นชัดเจนว่า ถ้าไม่รักคงทำไม่ได้ แต่ความรักของเธอ เหมือนธุลีในสายลม ผมไม่เคยมองมัน

“เลิกพูดเรื่องนี้ซะที พูดอยู่ได้ซ้ำซาก”
เธอไม่เคยได้รับการรักษาน้ำใจจากผม เธอไม่เคยได้ยินคำพูดรื่นหู ไม่เคยได้รับความอบอุ่นในสัมผัส แต่เธอก็ไม่เคยที่จะร้องขอมันเช่นกัน ความรักของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าเธอกำลังล้ำเส้น เธอคืบก้าวเข้ามาในชีวิตของผมด้วยเครื่องมือที่ชื่อความจริงใจ แต่เธอผูกมัดผมไม่ได้หรอก ชีวิตของผมเสรีเกินไปที่จะอนุญาตให้ใครทำอย่างนั้น

ผมไม่รักเธอ นั่นคือประโยคที่ผมบอกตัวเอง

ความคิดแบบนั้นเกิดขึ้นเสมอเมื่อผมมีเธอวนเวียนอยู่ใกล้ๆ จนเมื่อวันหนึ่งเธอมาหา พร้อมคำบอกลาอย่างไม่มีเยื่อใย ผมจึงได้เข้าใจคำว่า “รัก” ของเธอในตอนนั้น ตอนที่เธอจากไปแล้ว

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้บอกรัก พูดเถอะ บางครั้งคำไม่กี่คำนั่นแหละที่อาจจะเปลี่ยนเราไปทั้งชีวิต

Read Full Post »

ถ้าไม่รัก… ก็เขียนไม่ได้

ชีวิตของผมเชื่องช้า และเวลาของผมก็เดินช้าไปพร้อมๆ กัน บางครั้งไม่อยากทำอะไร บางครั้งก็อยากทำอะไรมากมาย แต่เงื่อนไขของชีวิตมักจะไม่เอื้ออำนวยให้ทำในสิ่งที่อยากเท่าไหร่นัก… ผมเดินอยู่ริมถนน แต่ใจผมไม่ได้อยู่กลางถนนหรอกนะ มันแค่โบยบินไป โบยบินที่ไม่ใช่ล่องลอย เพราะการล่องลอยนั้นไร้ซึ่งการบังคับทิศทาง ผิดกับการโบยบิน มันพุ่งตรงมุ่งสู่เป้าหมายอย่างเสรีและมีทิศทาง — ทิศที่หัวใจของผมโบยบินไป คือทิศที่เจ้าของหัวใจผมอยู่ตรงนั้น

“โรแมนติกสุดยอด คิดได้ยังไงนี่เรา” พึมพำขณะที่เอียโฟนเสียบอยู่ในหูฟังเพลงโปรด…

ถ้าบอกว่าเพลงนี้ แต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหม…
มันอาจไม่เพราะไม่ซึ้งไม่สวยงาม เหมือนเพลงทั่วไป
อยากให้รู้ว่าเพลงรัก ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้
แต่กับเธอคนดี รู้ไหม ฉันเขียนอย่างง่ายดาย…

เพลงที่ผมฟังครั้งแรกจากการเดินผ่านย่านเซนเตอร์พอยท์ ก่อนถึงวาระสุดท้ายและตายลงอย่างสงบของแหล่งชุมนุมวัยรุ่นชาวสยาม เพลงที่ผมไม่รู้ว่าชื่ออะไร ศิลปินกลุ่มไหนเป็นคนร้อง แต่มันติดเบรกให้สองเท้าผมจนต้องหยุดยืนฟังจบเพลง… เพลงที่บอกว่า “ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้” ประโยคนี้ยังติดหู มันไม่ใช่เพลงที่ไพเราะที่สุดในโลก และมันก็ไม่ใช่เพลงที่จะฟังแล้วซาบซึ้งกินใจอะไรมากนัก เว้นแต่ว่าใครสักคนจะเป็นอย่างในเพลง ซึ่งนั่นไม่ใช่ผม แต่เป็นใครอีกคนในชีวิตผม—

เธอ.. ที่เป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม ในจำนวนเพื่อนไม่กี่คนที่ผมมี เธอเป็นนักแต่งเพลงในค่ายเพลงอินดี้เล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงมากมายนักในแวดวงดนตรี เพลงของเธอไม่ค่อยดัง ไม่ติดชาร์ทของสถานีวิทยุใดๆ แต่เพลงของเธอกินใจ รวดร้าว และเมื่อฟังอย่างตั้งใจ หากเข้าถึงอารมณ์ของเพลง –นั่นอาจทำให้คนฟังมีน้ำตา เธอบอกเสมอว่าเธอแต่งเพลงทุกเพลงขึ้นมาด้วยความรัก บางเพลงมีแรงบันดาลใจมาจากคนใกล้ตัว บางเพลงก็มาจากความรักของเธอที่ไม่เคยสมหวังเลยสักที

“ความเศร้าทำให้เราเขียนเพลงได้ดี”
แล้วเธอก็ยิ้ม ไม่รู้ว่ายิ้มให้ความเศร้าหรือยิ้มให้ผม… บางครั้งที่เรานั่งข้างกัน ผมมักจะมีเอียโฟนเสียบหู ฟังเพลง และร้องเพลงคลอไปตามท่วงทำนองของเพลง-เพลงนั้น ขณะที่เธอนั่งเงียบๆ จมตัวเองลงไปในโลกส่วนตัว หรืออาจจะกำลังนึกถึงเพลงสักเพลงที่จะแต่งมันขึ้นมา บางทีเธอจะนั่งเท้าคางมองดูผม…

“รู้มั้ยว่าเป็นคนที่รูปหน้าสวย”
เธอชมผมในภาษาแบบของเธอ

“หันหลังมาหน่อยสิ—ขอยืมเป็นกระดาษ จะวาดรูปหน้าตอนหันข้าง”

“แล้วใช้อะไรเป็นดินสอ”

“นี่ไง”
เธอใช้ปากกาเคมีสำหรับเขียนแผ่นซีดี วาดรูปหน้าผมลงไปบนเสื้อสีขาวของผม

“ฟังเพลงอะไรอยู่”

“เพลงหนัง เพราะดี ลองฟังมั่งมั้ยล่ะ”

ผมดึงเอียโฟนออกจากหู–ให้เธอ

“อ่อ เพลงนี้น่ะเอง เพราะดีนะ ไปดูหนังมาแล้วเหรอ”

“อื้อ ดูหกรอบแล้ว”

“โห คงชอบมากเลยสิ ถึงได้ดูหลายรอบ”

“ชอบเพลง เพลงเพราะดี”
แล้วเราก็นั่งฟังเพลงกันอยู่อย่างนั้น เพลงเดียวนั่นแหละ ฟังซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ จนกระทั่งเธอร้องคลอไปกับเพลงได้

เธอคงเคยได้ยินเพลงรักมานับร้อยพัน
มันอาจจะโดนใจ แต่ก็มีความหมายเหมือนๆ กัน
แต่ถ้าเธอฟังเพลงนี้ เพลงที่เขียนเพื่อเธอเท่านั้น
เพื่อเธอเข้าใจความหมาย และใจจะได้มีกัน และกัน

เราฟังเพลงเดียวกัน แต่หัวใจของเราสองคนไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน หัวใจของผมโบยบินไป ในทิศที่เจ้าของหัวใจผมอยู่ ซึ่งเธอคนนั้นไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ข้างกันในตอนนี้ เธอรู้ดี…ว่าผมมีคนรัก เท่าๆ กับที่รู้ว่ามิตรภาพระหว่างเรา ไม่อาจก้าวไกลไปกว่าความเป็นเพื่อนสนิท ความผูกพันและความใกล้ชิด ไม่ได้ทำให้ความเป็นเพื่อนสนิทเปลี่ยนแปลงไป

“เป็นเรื่องที่ดีแล้วที่เรารักกันไม่ได้ ไม่งั้นเราจะเอาความเศร้าที่ไหน มาเขียนให้เป็นเพลงล่ะ”
เธอรักผม… แต่เราไม่ได้รักกัน เพราะหัวใจของผมไม่ได้อยู่ที่เธอ มันยังโบยบินไปในทิศที่เจ้าของหัวใจของผมอยู่– คนที่ผมรักและเธอก็รักผมเช่นกัน แต่ครอบครัวคนรักของผมไม่ยินดีต้อนรับผมเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิก ความรักของเราจึงเป็นห้าปีที่ไม่มีอะไรคืบก้าวไปมากกว่าปีแรกที่คบกัน เราไม่มีเป้าหมายปลายทางของชีวิตด้วยกัน ไม่มีการวางแผนอนาคตด้วยกัน มองเห็นเพียงปลายทางที่จะสิ้นสุด…

“ความรักมักเกิดขึ้นพร้อมๆ กับเงื่อนไขเสมอ”
อีกไม่กี่เดือนก็ครบห้าปีที่ผมกับคนรักคบหากันมา

“ไม่ว่าวันนี้หรืออีกห้าปีข้างหน้าทุกอย่างก็จะยังเป็นอย่างที่เป็นนี้”
เธอรับรู้เรื่องราวของผมตลอดมา ห้าปีที่ผมเป็นเพื่อนกับเธอ เท่าๆ กับห้าปีที่ผมมีความรัก – แทบไม่แตกต่างกันเท่าใดเลย

“ถ้าเรารักใครสักคน เวลา–ไม่สำคัญเท่าความรู้สึก”

“นั่นมีได้แค่ในเพลง – ไม่ใช่ชีวิตจริง”
ผมพูดออกไปแบบนั้น นั่นทำให้เธอเงียบ…ความเงียบที่ผมไม่อาจคาดเดาว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบให้ตายลง

“งั้นจะเขียนเพลงสักเพลงให้ก็แล้วกัน”
นั่นเป็นคำปลอบโยน – ผมรู้ดี

อันที่จริงผมก็เศร้าเหมือนๆ เธอนั่นแหละ เธอมีความรัก-รักข้างเดียว ผมมีความรัก-แต่เป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง…จะต่างอะไรกัน

“เหนื่อยมั้ย”
คำถามของผม เมื่อทบทวนถึงมิตรภาพระหว่างเรา และความรักของเธอที่ทุ่มเทให้ผมตลอดเวลามา

“เรื่องอะไร”

“รักใครสักคน แต่เหมือนโยนก้อนหินลงไปในทะเล ไม่มีวันเต็ม”

“คงเหมือน เหมือนกันนั่นแหละมั้ง – เราต่างก็กำลังโยนก้อนหินลงไปในทะเล”
เธอหมายความถึงเรื่องของผม ความรักของผม ที่จะว่าไปแล้วก็คงไม่แตกต่างจากเธอนัก…

เธอยังไม่ไปไหน –คอยรับรู้ รับฟังเรื่องราวความรักที่ “เหมือนกำลังโยนหินลงไปในทะเล” ของผม เธออยู่เป็นเพื่อนในวันที่ผมไม่มีเพื่อน ให้กำลังใจในวันที่ผมไม่มีใคร และนั่งฟังเพลงอยู่ข้างกันในวันที่ผมควรจะมีคนรัก…แต่ไม่มี

ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง
ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน อยู่ด้วยกันตราบนาน นาน
ดั่งในใจความบอกในกวี ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง
คือทุกครั้งที่รักของเธอ ส่องใจ ฉันมีปลายทาง – –

“รู้ไหม การมีใครสักคนให้ได้บอกรัก มันเป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน แล้วรู้ไหม ว่าคนที่ไม่มีใครให้บอกรักเลยนั้นมันเป็นยังไง ห้าปี อาจจะนานเกินไปสำหรับความรัก ถ้าหากจะนึกถึงเพียงปลายทางของความรัก…เคยนึกหรือเปล่าว่าห้าปีนั้นระหว่างทางที่จูงมือกันเดินมา มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง…นั่นต่างหากคุณค่าของความรัก”

“จะรู้อะไร…”
อย่างหนึ่งที่เธอไม่มีวันเข้าใจคือระหว่างทางที่จูงมือกันเดินมานั่นแหละ… มือที่ผมจูงนั้นมีเงื่อนไขอยู่ที่ว่าถ้าผมมีฐานะมั่นคงพอครอบครัวคนรักของผมก็จะยอมรับผมมากขึ้น แต่มันไม่ง่ายเลยสำหรับผม แม้จะพยายามกว่านี้สักกี่พันเท่า แค่ความรักอย่างเดียว สำหรับ “ชีวิตจริง” น่ะ…ไม่พอหรอก
เธอไม่มีวันเข้าใจ เพราะเธอเป็นแค่เพื่อน เป็นแค่คนที่รักผม—แต่เธอไม่ได้เป็นผม… จะรู้อะไร

“แค่… ไม่อยากให้เป็นแบบนี้”
น้ำเสียงของเธอนุ่ม เบาและฟังดูอบอุ่น ผมรู้ว่าเธอเป็นห่วง

“แล้วใครอยากเป็นแบบนี้”
แล้วบรรยากาศของความเงียบนิ่งก็เข้าเกาะกุมเราทั้งคู่—อากาศอบอ้าวก่อนที่ฝนจะตกลงมา…สายฝนเดือนกุมภาพันธ์ มันช่างเป็นฝนที่สับสนเสียเหลือเกินนัก, ผมหยิบสมุดโน้ตเล่มเดิมมาจดรายละเอียดลงไป…
17 กุมภาพันธ์ 2551 สวนสันติไชยปราการ, ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 14.00 น. ฝนตก

“ยังจดอยู่อีกเหรอ”

“อื้อ”
ผมตอบคำถามนั้นสั้นๆ เพราะผมเคยบอกกับเธอไปแล้วเรื่องจดบันทึกเมื่อฝนตก ครั้งแรกที่เธอรับรู้ เธอทำท่าแปลกใจและสงสัยเธอถามว่าผมจดบันทึกเรื่องฝนตกทำไม ผมตอบเธอว่าเพราะอยากรู้ว่า หนึ่งปีนั้นจะมีโอกาสได้อยู่ในบรรยากาศฝนตกสักกี่ครั้ง — แล้วเธอก็บอกว่าจะเอาไปเขียนเป็นเพลง… ไม่นานผมก็ได้ฟังเพลงนั้นจากเธอ

ทุกครั้งที่ฝนหล่นลงจากฟากฟ้า ก็เหมือนน้ำตาหล่นมาพร้อมกับฝน
และมีความเหงาแทรกอยู่ ในบรรยากาศที่สับสน
ฉันไม่มีคนตากฝนเคียงข้างกัน…

เมื่อไรที่ฝนตก หัวใจฉันหล่น จะมีใครบางไหมสักคน
ที่ยอมเปียกฝนด้วยกัน…

เนื้อหาก็เพราะดี นักร้องก็เสียงดี แต่เพลงนี้ก็ไม่ดัง ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเขียนเพลง เพราะเธอรักที่จะเขียนเพลง อะไรที่เธอรัก เธอมักจะทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่เสมอ…

“วันนี้มาหา เพราะมีเรื่องจะบอก”
น้ำเสียงเธอยังนิ่ง และราบเรียบราวทะเลที่ไร้คลื่น ผมนั่งเงียบรอฟัง เธอพูดต่อ…

“สอบได้ทุนไปเรียนต่อที่วิทยาลัยศิลปะและการดนตรีที่อเมริกา”

“ไม่เคยบอกว่าสอบเลย”
ผมไม่เคยรู้เรื่องของเธอมากกว่าที่เธอบอก และถ้าเธอไม่บอก อะไรที่เกี่ยวกับเธอก็จะยังคงเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันได้รู้อยู่อย่างนั้น

“ขอโทษนะ”

“ไหนบอกว่ารัก…จะทิ้งกันแล้วงั้นหรือ”
ผมไม่ได้ตัดพ้อ –หรืออาจจะเรียกประโยคนั้นว่าตัดพ้อ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เท่าที่รู้สึกคือใจหาย…เหมือนมันกำลังถูกกระตุกหล่นร่วงลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา

“เราโยนก้อนหินลงไปในทะเล ห้าปีแล้ว… ในเมื่อระหว่างเราเป็นได้แค่เพื่อนที่ดี ก็จะรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีนั้นไว้ตลอดไป”

“แล้วเมื่อไหร่จะเจอกันอีก”

“เมื่อความรัก…ออกเดินทาง”
เธอจากไปแล้ว ตามทางของเธอ และผมก็ยังเดินอยู่ริมถนน หัวใจของผมยังคงโบยบินไป ยังทิศทางที่เจ้าของหัวใจผมอยู่ตรงนั้น มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่ผมจะคิดถึงเธอ ในฐานะเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง…

ผมเริ่มหัดเขียนเพลง จากเรื่องราวรอบๆ ตัว จากหนังสือที่อ่าน จากการเดินทาง และจากความคิดถึง, สักวันหนึ่งผมจะร้องเพลงที่ผมแต่งขึ้นให้เธอฟัง – –

250225512035

Read Full Post »

“ถ้าหากว่าเก่งเกิดเร็วกว่านี้สักหกปี หรือเพียงแค่พี่เกิดช้ากว่านี้อีกสักหน่อย… ก็คงจะดี” ทั้งสองคนมองดูสายน้ำที่ไหลแรงเพราะสายฝนเพิ่งตกกระหน่ำมาหยกๆ เจ้าพระยาหน้าฝน กับคนเศร้าสองคนในร้านไอศกรีมริมท่าน้ำ

“ผมผิดตรงไหนที่รักพี่ ทำไมล่ะ ทำไมพี่ถึงรักผมไม่ได้” เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนจะร้องไห้… เขารู้จัก “พี่สาวใจดี” จากอินเทอร์เน็ต หลังจากที่เป็นเพียงคนทักทายธรรมดา การสนทนาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกวันทำให้ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว หญิงสาวคิดกับเขาอย่างน้องชาย ในขณะที่เด็กหนุ่มคิดอะไรมากมายไปกว่านั้น

“ไม่เคยมีใครใจดีกับผม…แบบนี้” น้ำเสียงหม่นเศร้า ออกมาจากความรู้สึก

“แต่เก่งยังเด็ก ยังเรียนหนังสืออยู่ พี่อยากให้เก่งตั้งใจเรียน พี่จะเป็นกำลังใจให้นะคะ” ไอศกรีมในถ้วยละลายไปนานแล้ว สายตาหลายคู่มองมาอย่างสงสัย… หญิงสาวในชุดทำงานกับเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลาย เป็นคู่พี่สาวกับน้องชายที่ต่างกันสุดขั้ว

“แต่ผมจะจบแล้ว”

“นั่นสิ พี่ถึงอยากให้เก่งตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมเอนทรานส์ไงคะ”

“ทำไมพี่ถึงเป็นแฟนผมไม่ได้ ก็ไหนพี่บอกว่าพี่ไม่มีแฟน” เขาคาดคั้นเอาคำตอบ

“บางที…ถ้าเก่งโตขึ้น อาจจะเข้าใจมากกว่านี้”

“ทำไมล่ะ ผมไม่ใช่เด็กนะ ผมโตแล้ว ทำไมถึงชอบหาว่าผมเด็กอยู่เรื่อย”

“ก็อย่างนี้แหละ นิสัยของเด็ก”

“ผมขอโทษ”

กอผักตบชวายังลอยตามน้ำ เรือโดยสารผ่านไปมา นานๆ ที่ จะมีเรือลากทรายอืดอาดผ่านไป บนสะพานแขวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รถรายังวิ่งขวักไขว่… ร้านไอศกรีมริมน้ำที่เย็นจัดด้วยแอร์คอนดิชั่น ทำให้หญิงสาวต้องขยับเสื้อสูทตัวนอกให้กระชับขึ้น เสียงเพลงในร้านยิ่งทำให้เศร้าเข้าไปอีก…

…แค่เพียงดอกไม้ริมทาง เธอจะมองมันสวยถึงเมื่อไหร่ เมื่อไรไม่รู้ จะเกิดอะไรกับฉันแม้สักวันเธอได้เจอะใครบางคน คนที่พร้อมดีดีกว่า…กว่าคนคนนี้ ที่รักเธอ…..

“เรา…เป็นพี่น้องกันนะ” คำพูดที่ทำให้เด็กหนุ่มเกือบต้องร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ

“พี่จะเป็นพี่สาวใจดีสำหรับเก่งเสมอ นะคะ” เธอยิ้มเศร้า ซ่อนน้ำตา

“ผมเกลียดคำคำนี้ที่สุด” ความเจ็บปวดในใจมีมากมายไม่แพ้กัน เพียงแต่คนหนึ่งผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากกว่า ในขณะที่อีกคนหนึ่งยังไม่พ้นวัยศึกษา แต่ความรัก มักจะไม่เลือกสถานภาพเสมอ

“มีบางเรื่องที่พี่ไม่เคยเล่าให้เก่งฟัง แม้จากการ Chat ทางเน็ต หรือจากการที่เราได้นั่งคุยกัน…” หญิงสาวรวบรวมความเข้มแข็ง ก่อนบอกเล่าเรื่องราว

“พี่มีน้องชาย เค้าน่ารักมาก เค้าเหมือนเก่งทุกอย่าง น่ารัก สุภาพ เป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่ แต่อยู่ๆ วันหนึ่งเค้าก็จากพวกเราไป ไม่ลาสักคำ อุบัติเหตุพรากเค้าไปจากพวกเราทุกคน… พอพี่ได้รู้จักกับเก่ง พี่ก็รู้สึกเหมือนน้องชายกลับมาอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากนะ แต่ช่วงที่เค้าจากไปตอนนั้น อายุเค้าเท่ากับเก่ง ในตอนนี้”

“ผมเสียใจด้วยนะครับ”

“เก่งมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนน้องชายพี่ เหมือนเสียจนบางทีพี่ก็คิดว่าอยากให้เก่งมาเป็นน้องของพี่จริงๆ“ ความรู้สึกสุดท้ายถูกระบายออกมา และความเงียบก็เข้ามาแทนที่การสนทนา

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจดีทุกอย่างเลย เรา…ไม่สามารถเป็นอะไรได้มากกว่าพี่กับน้อง”

“…………….”

“ผมขอเวลาพี่นะครับ สักพัก ผมหมายถึงเวลาทำใจที่จะคิดกับพี่ อย่างที่พี่คิดกับผม แล้วเราจะเป็นพี่น้องกัน” คำพูดสุดท้ายของเด็กหนุ่ม ก่อนที่เขาจะเดินจากไป

ท้องฟ้าแจ่มใสหลังฝนตก นอกร้านก้านหนึ่งผู้คนเดินกันขวักไขว่ รถราติดยาวเหยียดเป็นแพ เด็กหนุ่มเดินหายไปกับกลุ่มคนมากมายเหล่านั้น หญิงสาวยังนั่งอยู่ที่เดิม แม่น้ำเจ้าพระยายังไหลเรื่อย สายน้ำไม่เคยเหนื่อยที่จะรินไหล…

น้ำตาหญิงสาวอาบแก้มนวล

“ถ้าหากว่าเก่งเกิดเร็วกว่านี้สักหกปี หรือเพียงแค่พี่เกิดช้ากว่านี้อีกสักหน่อย… ก็คงจะดี” /

Read Full Post »

Older Posts »