วันหยุดสุดสัปดาห์ คือสวรรค์วิมานของใครหลายๆ คน และยิ่งคนที่รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในวิมานแล้วด้วยนั้น วันหยุดดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเหมือนงูแลบลิ้น เมษายน เป็นเดือนที่มีวันหยุดค่อนข้างยาวสำหรับประเทศไทย ประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้น ขอย้ำ, และนั่นมันทำให้เราอ่านหนังสือจบไปหลายเล่มอย่างไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น ฝนตกขึ้นฟ้า และ ยาแก้สมองผูกตราควายบิน ของวินทร์ เลียววาริณ มาถึง ดลใจภุมริน ของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่หนาเอาการ แต่ไม่นานก็อ่านจบ หนังสือหลายเล่มเป็นแบบนั้น คนเขียนมักจะวางระเบิดเอาไว้ให้คนติดตามแบบตื่นตาโดยไม่รู้ตัวเสมอ โดยเฉพาะพญาอินทรีย์แห่งทูนอินการ์เด้นท่านนี้ คนที่เรานับเป็นครู ทั้งที่ก็ไม่เคยจะเสี้ยมสอนวิชาการให้เราแม้สักน้อย แต่หนังสือทุกเล่มของท่านที่เราอ่าน เรื่องราวทุกเรื่องที่ท่านเขียน เป็นมากเสียยิ่งกว่า “ครู” เสียอีก เราไม่ติดอกติดใจ มาเฟียก้นซอย เหมือนใครหลายคน แต่เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่าน เมนูบ้านท้ายวัง หนังสือชุดนี้ทำให้เราอยากทำกับข้าวและชื่นชอบในเมนูปลา โดยเฉพาะต้มโคล้ง… เรามีความสุขที่จะอ่าน เสเพลบอยชาวไร่, ไปจนถึง สนิมสร้อย, ผู้ดีน้ำครำ, ใต้ถุนป่าคอนกรีต, บางลำพูสแควร์ และเล่มอื่นๆ อีกประดามี หนังสือของนักเขียนคนนี้ทำให้เราอยากเป็นนักเขียน และถ้าใครสักคนจะถามว่า เราชอบนักเขียนคนไหนมากที่สุดในประเทศนี้ละก็ บอกได้อย่างไม่ต้องคิดว่า ลุงปุ๊ แห่งสวนทูนอิน มาวินเป็นหมายเลขหนึ่งแน่นอน หรือถ้าเป็นนักเขียนเมืองนอก…ก็เป็นลุงปุ๊ตอนที่อยู่ต่างประเทศนั่นแหละ
ต้นเดือนห้า พฤษภาคม ฝนหล่นกระทบดินเพราะพายุ ไม่เป็นอุปสรรคของการอ่าน เสียงประสานของฟ้าที่ครืนๆ มาในบ่อยครั้งฟังไปก็เพลินดี มีวันหยุดติดกันสามวันตั้งแต่เสาร์ถึงจันทร์ เป็นอันว่าความสุขก็อยู่ที่บ้านกับการอ่านหนังสืออีกเช่นเคย แปลกดี ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ดูจะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ทั้งๆ ที่ก็ยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าเดิม อาจจะเพราะไม่ต้องเดินทางไกลไปทำงาน อาจจะเพราะเลิกงานกลับบ้านแล้วไม่มีกิจกรรมอื่น อาจจะเพราะไม่มีครอบครัวให้ต้องเอาใจใส่ เหนือสิ่งอื่นใดคือ บรรยากาศเป็นใจสำหรับการอ่านหนังสือมาก
ความสุขของคนโสด – บางคนเลือกที่จะทำงานเยอะๆ ในช่วงที่มี “แรง” ในวาระที่ยังไม่มีภาระครอบครัว หลายคนเลือกทำงานหนักเพื่อทำเงิน และเป็นสุขกับการหาเงิน ซึ่งก็อดที่จะนึกถึงคนใกล้ตัวไม่ได้… เราสองคนมีความสุขที่แตกต่างกันพอควร ซึ่งต่างใช้ “ความโสด” ของเราไปกับ “ความสุข” คนละแบบ เรามีวันหยุดสำหรับการอ่านและเขียน เขามีวันหยุดสำหรับการทำงาน-ทำเงิน และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตจากเงินที่หามา เรามีความสุขกับการได้เดินช้าๆ มีเงินแค่พอจ่าย ไม่พอบ้างก็ดิ้นรนไปตามยะถา อดออม กระเหม็ดกระแหม่ ขัดสนบ้างในบางทีก็สนุกดีตามประสา แต่ถ้าต้องใช้เวลาไปกับการทำงานเพื่อที่จะให้ได้เงินมากๆ แล้วล่ะก็ดูจะไม่ใช่วิสัยที่ถูกฝึกมาให้เป็นอย่างนั้น, แต่ใครๆ ก็มักพูดว่า “วันหยุดยาวๆ น่าจะเขียนหนังสือได้เยอะๆ นะ” ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้หยุดสั้น หรือหยุดยาว เรื่องการเขียนหนังสือนี่ดูจะเป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้จริงๆ เพราะเขียนตามใจ อยากเขียนก็เขียน ไม่อยากเขียนก็ไม่-แม้กระทั่งจะเปิดไฟล์เรื่องนั้น ถ้าคิดพล็อตออก แม้ตอนตีสามก็จะลุกมาเขียน แต่ถ้าคิดไม่ออก บางครั้งเป็นเดือนๆ ก็เขียนไม่ได้… เพราะงั้น การเขียนหนังสือของเราจึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ – แต่การอ่านนี่ดูเหมือนจะเกิดจากความเคยชินมากกว่าอย่างอื่น อาจจะเพราะหนังสือวางอยู่ตรงหน้า อาจเพราะว่าบางเล่มยังไม่ได้อ่าน หรืออาจเพราะไม่อยากคิดอะไรในวาระนั้น การหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านจึงเป็นการใช้เวลาไปอย่างรู้สึกว่าไร้ค่าน้อยที่สุดแล้ว…
วันหยุดนี้ก็เช่นกันหนังสือที่อ่านจบไปเป็นหนังสือแปลชื่อ The Final Detail ในชุด Myron Bolitar Novel ที่ยืมมาจากเพื่อนสาวความสูงร้อยสี่สิบแปด อีกแค่สองเซ็นติเมตรเท่านั้นเธอก็จะได้หนังสือชื่อชีวิตร้อยห้าสิบเซ็นติเมตร เป็นของขวัญวันเกิดแล้ว และภาวนาว่าวันเกิดเธอปีนี้ความสูงเธอจะถึง…
จากนั้นเหมือนเครื่องติด เมื่อลองไล่นิ้วไปตามสันหนังสือก็พบว่ามีบางเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน (ข้ามเล่มที่อ่านยังไม่จบไป) นั่นก็คือ อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ…ที่รัก ของ ชมัยภร แสงกระจ่าง ที่เขียนในชื่อ ไพลิน รุ้งรัตน์ ไม่รู้ว่ารอดหูรอดตาไปได้ยังไง ตั้งแต่ปี 1999 หยิบลงมาอ่านและใช้เวลาไม่นานเกินไปนัก, จบแล้วก็ทำให้อยากแนะนำหนังสือให้คนอื่นได้อ่านบ้าง ตามประสาผู้มีอาชีพเดียวกับนางเอกของเรื่องและมีจันทบุรีเป็นจังหวัดในดวงใจ หลายเล่มในเรื่องเป็นหนังสือที่เคยอ่านแล้ว และหลายเล่มทำให้อยากหามาอ่าน โดยเฉพาะวรรณกรรมไทยยุคก่อนเราเกิด ดูจะเป็นแม่แบบและเป็นแรงบันดาลใจของนักเขียนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี จากหนังสือเหล่านั้น แตกแขนงมาเป็นการเขียนในแบบร่วมสมัยก็หลายเรื่อง จบเรื่องราวของหมอจุลกับแม่ลมเย็นลงแล้วก็เริ่มว่าง… เสียงเรือหางยาวที่ดังเป็นระยะสร้างความรำคาญเป็นพักๆ – แต่ก็แปลกดี วันนี้ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากใครเลย
ย้อนกลับไปที่วินทร์ เลียววาริณ อีกที คนนี้ ทีแรกไม่คิดว่าจะอ่านหนังสือของเขาเป็นเรื่องเป็นราวและเอาจริงเอาจังขนาดนี้ แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนเพราะบังเอิญไปรู้จักกับชายหนุ่มสถาปนิกรั้วเดียวกับวินทร์ เลียวฯ คนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกห้องสมุดแห่งเดียวกัน ห้องสมุดประชาชนแสงอรุณ – เราคุยกันเรื่องหนังสือ เขาอยากลองอ่านหนังสือของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ และเราเองก็อยากลองอ่านหนังสือของ วินทร์ แน่นอน เราต่างก็ไม่ยืมจากห้องสมุด เพราะข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา แต่เราเอาหนังสือของตัวเองมาแลกกันอ่าน เราเอา ผู้ดีน้ำครำ ไปแลก ปีกแดง มาอ่าน และหลังจากนั้นเราก็กลายเป็นแฟน วินทร์ เลียววาริณ อย่างไม่รู้ตัว หรือจะให้ถูก เราเป็นแฟน พุ่มรัก พานสิงห์ ต่างหาก
งานหนังสือเมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ครึกครื้นและน่าแปลกใจที่ตลาดหนังสือประเทศไทยไม่ได้ซบเซาไปตามเศรษฐกิจอย่างที่คิดไว้ หนังสือดีๆ มีให้เลือกเยอะพอๆ กับที่ต้องเลือกว่าเล่มไหนคือหนังสือดีๆ นั่นแหละ จำไม่ได้ว่าเป็นประโยคของใครที่พูดถึงเรื่องการอ่าน
– ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนานนักเมื่อเทียบกับจำนวนหนังสือในโลก เพราะงั้นก็ควรเลือกที่จะอ่านในเล่มที่ทำให้เกิดคุณค่ากับชีวิตจริงๆ
เราเถียงน่ะ, อย่างน้อยก็ในใจ, เพราะคงไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเล่มไหนที่จะทำให้เกิด “คุณค่ากับชีวิต” เราจึงเปลี่ยนประโยคเขาเสียใหม่ว่า
–ชีวิตคนเราแสนสั้นนักจงเลือกอ่านเล่มที่อยากอ่าน…
หนังสือทุกเล่มมีคุณค่าในตัวของมันทั้งนั้นแหละ อยู่ที่เราจะหยิบ จับ ฉก และฉวยมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก และเราอยากให้ทุกคนอ่านในเล่มที่ “อยากอ่าน” อย่าเพิ่งไปคาดหวังว่ามันจะได้คุณค่าหรือไร้คุณค่าเสียเลยทีเดียว ถ้าเล่มไหนที่เจอแล้วอยากอ่าน อย่าลังเลนานเพราะมันจะทำให้ความอยากนั้นลดถอยลงไป หยิบขึ้นมาเปิดคำนำ, ขอแนะนำให้อ่านคำนำ มากกว่าคำโปรยปกหน้า-หลัง เพราะคำนำ หรือคำนิยม เป็นสิ่งที่มาจากใจของคนเขียน แต่คำโปรยปกมาจากใจของการตลาด…
วันอาทิตย์นี้หนังสือที่เลือกหยิบมาอ่านต่อคือ โลกของโซฟี, ชามี, อิชมาเอล (Ishmael) เล่มแรกในคำนำบอกว่า เป็น หนังสือปรัชญา แต่การพิมพ์ถึงครั้งที่แปด (เล่มที่ถืออยู่นี้) แปลได้ไหมว่าคนไทยชอบเรื่องราวเกี่ยวกับปรัชญา…
ส่วนชามีเป็นนวนิยายของทมยันตี นักเขียนอีกท่านที่เราศรัทธาในการใช้ภาษาและการเล่าเรื่อง ถึงแม้ระยะหลังทมยันตีจะยืนยันการ ‘รับใช้ศาสนา’ อย่างจริงจังไปนิด แต่นิยายก็คือ นิยาย ใครจะได้อะไรไปมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นจะ ‘อยากได้’ ในสิ่งที่ผู้เขียนให้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก และสำหรับเล่มสุดท้าย
อิชมาเอลในตอนหนึ่งของคำนำบอกไว้ว่า “อิชมาเอล ถ่ายทอดแนวคิดสำคัญทางชีววิทยา เช่นแนวคิดทางนิเวศวิทยา สมดุลของระบบนิเวศ วิวัฒนาการและความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านรูปแบบของงานวรรณกรรม” เล่มนี้น่าอาจจะเข้าใจยากสำหรับคนที่ไม่สนใจเรื่องชีววิทยา แต่ก็น่าสนใจเพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนใช้เป็นตำราประกอบการสอนเลยทีเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าจะอ่านหนังสือสองสามเล่มนี้จบภายในวันสองวันนี้แน่ๆ อย่างน้อยความ “อยากอ่าน” ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้เอาจริงเอาจังกับมันนัก
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่กระโดดเข้ามาอยู่ในหัวข้อ “อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะที่รัก (ของเรา) ” อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แน่นอนเพราะมันเป็นเล่มที่ ‘อยากอ่าน’ แต่คงต้องใช้เวลา โดยเฉพาะหลายเล่มของ อัลแบร์ การ์มู ฉบับแปลที่ส่ายสายตาไปเห็นพอดี ทั้ง ความตายอันแสนสุข คนนอก มนุษย์คนแรก ผู้บริสุทธิ์ ความเข้าใจผิดและกาลีกูลา การเนรเทศและอาณาจักร กับเล่มที่ถืออยู่ในมือตอนนี้คือ มนุษย์สองหน้า อัลแบร์ กามู เป็นนักเขียนซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับนักอ่านบางกลุ่มในบ้านเรา แต่บางคนก็ไม่ชอบเอาเสียเลย ว่ากันไม่ได้ เพราะของอย่างนี้เป็นเรื่องของรสนิยม เหมือนบางคนชอบปลาดิบแบบญี่ปุ่นและอีกคนชอบปลาร้าแบบอีสานน่ะแหละ
ก่อนวันหยุด เข้าอบรมเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา ได้ฝึกการมองตัวเองอย่างตัวอย่างอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ฝึกการมองคนอื่นอย่างยุติธรรม และฝึกการฟังมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะจากการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าทำไมเราจึงมองคนอื่นในมุมลบไม่ใช่ฝึกที่จะมองคนอื่นแต่ฝึกที่จะมองตัวเอง กล้าที่จะตรงไป ตรงมากับตัวเองและยอมรับความจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็น และหลังจากกิจกรรมก็เลยมีโอกาสได้คุยกับผู้เข้าร่วมกิจกรรมท่านหนึ่งที่ชื่นชอบผลงานของสองพี่น้อง หุตางกูร ทินกร และปริทรรศ คุยกันถึง คนไต่ลวดบนดาวสีฟ้า ทัชมาฮาลบนดาวอังคาร โลกของจอม และยอมรับกับความไม่ธรรมดาในฝีมือของทั้งคู่…
ดูเหมือนจะเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของคนที่ทำงานกับหนังสือ คือมีหนังสือให้เลือกอ่านค่อนข้างมาก และยิ่งถ้ามีเวลาด้วยแล้ว หนังสือก็คือ “สวรรค์วิมาน” ที่จะกระโดดเข้าไปหาตอนไหนก็ได้
การอ่านทำให้ได้กำไร การเขียนทำให้ได้ค่าเรื่อง
มีใครบางคนบอกไว้แบบนี้…./
Read Full Post »