Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for the ‘หนังสือใต้หมอน’ Category

ภารกิจรักพิทักษ์เธอ

ชื่อเรื่อง ภารกิจรักพิทักษ์เธอ
เขียนโดย หญ้าเจ้าชู้
พิมพ์ครั้งที่ 1 จำนวน 248 หน้า
สำนักพิมพ์ ไฟน์บุ๊ค
ISBN 978 -611 -7032-08-0
ราคา 185 บาท

 


แอบเอามาเล่าก่อนอ่านในเล่ม

เรื่องราวของศึกชิง “บ้านพักสวัสดิการ” ของสองหนุ่มสาวอาชีพเดียวกัน เมื่อคนหนึ่งยื่นเรื่องขอบ้านพักตั้งแต่เข้ามาทำงานใหม่ๆ ขณะที่อีกคนบ้านไกล มาทำงานสายทุกวัน จนเจ้านายส่ายหน้าและให้สิทธิ์บ้านพักตัดหน้าคนที่ขอก่อน จนเป็นเดือดเป็นร้อนมาทวงสิทธิ์คืน และเมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็มีทางเดียวคือ “ต้องอยู่ด้วยกัน” แต่เมื่อเงื่อนไขของบ้านพักสวัสดิการคือ “ต้องเป็นครอบครัว” ทั้งคู่จึงต้องสร้างภาพกันสุดฤทธิ์ เพื่อให้ใครๆ เข้าใจว่าเป็นคู่รักกันจริงๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ เพราะอยู่กันไปก็กัดกันไปกลายเป็นความผูกพันไม่รู้ตัว

และถึงแม้ทั้ง “มิรา” กับ “วาทิต” จะเข้าใจว่าเหตุที่ต้องจับพลัดจับผลู มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันนี้เป็นเพราะเรื่องบ้านพักสวัสดิการ แต่ทั้งคู่ก็หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเป็นแผนการของหัวหน้าหน่วยระดับสูงที่ต้องการให้คนสำคัญอย่างมิราได้รับการคุ้มครองจากเหล่าผู้ก่อการร้ายที่หวังชิงตัวนักถอดรหัสหน่วยข่าวกรองสากล ซึ่งมีไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็คือมิรา และไม่มีใครเหมาะสมในการเป็นผู้คุ้มกันครั้งนี้เท่าวาทิตซึ่งได้รับภารกิจนี้มาโดยไม่รู้ตัว เพราะยังเข้าใจว่าหน้าที่ของตัวเองคือตามประกบผู้ต้องสงสัยเพื่อป้องกันการก่อการร้ายข้ามชาติ โดยที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วภารกิจซ้อนคือปกป้องมิราจากการผู้ที่หมายปองนักถอดรหัสที่สามารถอ่านรหัสจากหน่วยข่าวกรองสากลได้

note : ฝากเพื่อนๆ ด้วยนะคะ สำหรับผลงานล่าสุด ที่ค่อนข้างจะใกล้ชีวิตจริงมากที่สุด เล่มนี้ ^^

จากคนอ่าน : กล้ายางสีขาว

++++++++++++++

หากต้องการผลงานเล่มอื่นๆ ของ “หญ้าเจ้าชู้” ก็ตรงไปที่ไฟน์บุ๊คได้เลยนะคะ

รักข้ามรั้ว


ลุ้นสุดฤทธิ์พิชิตรัก

และสำหรับผลงานของ “ดาริกามณี” ก็ติดต่อโดยตรงที่ สนพ.คัมออน ค่ะ

ฝากด้วยนะค้า…..

Read Full Post »

นิยายเล่มใหม่ของหญ้าเจ้าชู้ และ ดาริกามณี

เพื่อนๆ คะ เล่มใหม่หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ
ชื่อเรื่องเดิมคือ เรื่องตลกของโชคชะตา (นั่นเอง)
ฝากเพื่อนๆ ช่วยกันหนุน (หลัง) ด้วยนะคะ ^^
อุตส่าห์ลุ้นในบล็อคกันมาตั้งนาน–
อ่านเป็นเล่ม อีกครั้งก็แล้วกันนะคะ

เรื่องย่อ ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก
โดย หญ้าเจ้าชู้

เรื่องราวของเฌลลี หญิงสาวผู้มุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจชายหนุ่มที่เธอรักด้วยการยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา นั่นเพราะเธอเชื่อว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่ามากเมื่อเทียบกับลูกชายศาสตราจารย์ด๊อกเตอร์ ขณะที่คุณพ่อของเธอเป็นแค่ครูบ้านนอกธรรมดา ณนนท์เองหรือก็เป็นถึงนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ที่หลงคิดว่าตัวเองเป็น “อัจฉริยะระดับเทพ” และไม่เคยคิดอะไรกับเธอมากไปกว่าแค่เพื่อน

ด้วยความรักและภักดี เสาร์-อาทิตย์ เฌลลีขับรถไกลจากจันทบุรี เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเจอหน้าณนนท์เพียงไม่กี่นาที (ก็ยอม) และทุกครั้งที่เธอเข้าเมืองมาก็มักจะหอบเอาผลไม้ (เมืองจันท์) มาฝากด้วยทุกครั้งไป กระทั่งยอมเป็นทาสรับใช้ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ล้างรถ เพื่อแลกกับการมีที่ซุกหัวนอนในวันเสาร์-อาทิตย์ (ทุ่มทุนสร้างปานนั้น) ซึ่งบ้านนั้นก็หาได้มีแต่พระเอกคนเดียวหรือก็ไม่ แต่ยังมีอีกสองหนุ่มน้องชายที่นิสัยเหมือนพี่ไม่มีผิด (แต่หน้าตาดีกว่าพี่คนโตลิบลับ) ให้เธอต้องคอยปรนนิบัติ แจ็คพอตสองชั้น เพราะสามหนุ่มพี่น้องถูกเลี้ยงดูอย่างคุณหนูมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยจับงานบ้านสักอย่างเพราะมีคุณนายดารณี มารดาที่แสนประเสริฐ ทำทุกอย่างให้หมด เมื่อมีทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างเฌลลี สามหนุ่มพี่น้องเลยยิ่งสบายไปใหญ่

ณฌาหรือน้องกลางเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างเสรีในการใช้ชีวิตไม่ค่อยคิดอะไรวุ่นวายซับซ้อนเหมือนพี่ชายคนโต เขาทำงานด้านคอมพิวเตอร์ในบริษัทต่างชาติ ทำตัวเหมือนจะเจ้าชู้ แต่ที่จริงเขาก็รักใครรักจริง เขาชอบเฌลลี แต่คิดว่าเธอเหมาะที่จะเป็นคนรักของพี่ชายเจ้าระเบียบของเขามากกว่า

ขณะที่น้องเล็กหรือณธี ซึ่งหลังจากจบ ม. ปลายจากบ้านเกิดเอ็นทรานส์ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยย่านบางมดก็ย้ายตัวเองมาอยู่กับพี่ชายทั้งสอง แถมจับพลัดจับผลูไปเป็นดาราทีวีกับเขาอีก (คิดดูว่าหน้าตาดีกันแค่ไหน – บ้านนี้) น้องเล็กมี “พี่แป้น” (ชื่อเล่นของนางเอกที่พระเอกตั้งให้) คอยจัดการโน่นนี่ให้จนกลายเป็นเหมือนพี่สาวคนหนึ่งของเขา เขารักพี่แป้นและคิดว่ามีแต่เธอเท่านั้นที่จะกำราบพี่ชายคนโตของเขาได้

แต่นางเอกของเราก็ต้องเผชิญขวากหนามมิใช่น้อย นอกจากอภิชาติมารดาอย่างคุณนายดารณีจะสกรีนจนละเอียดยิบแล้วยังมีมารหัวใจอย่าง “น้องขนมเค้ก” ที่ทำให้นางเอกเกิดแรงฮึดอยู่พักใหญ่ไปหัดทำเค้กส้มเอาใจพระเอก ผลออกมาคือ “อย่าว่าแต่เค้กเลย ผัดมาม่ายังเค็มเหมือนทะเลบางแสน” เมื่อเอาดีทางของกิน-ไม่ได้นางเอกก็หันไปหาหนทางอื่น ไม่ว่าจะตีท้ายครัวมารดาที่เป็นรองศาสตราจารย์ของเขาจนเอาชนะใจได้รับเกียรติเป็นลูกสาว-แต่ก็แอบหมายใจว่า “ถึงแม้วันนี้จะยังไม่ได้เป็นลูกสะใภ้ ได้เป็นลูกสาวก็ยังดี”

แต่กระนั้นอัจฉริยะระดับเทพก็ยังมิได้มีวี่แววจะชายหางตาแล เขาแค่คิดกับเธอเหมือนเพื่อนสนิท ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่มีใครคบหาเป็นเรื่องเป็นราว เฌลลีท้อใจหลายครั้ง และทำท่าว่าจะยกธงขาวก็หลายหน แต่สุดท้ายก็บอกตัวเองว่า “เออ ไม่เห็นต้องทำใจให้ไม่รักเลยนี่หว่า”

เฌลลีก็ยังพยายามสุดฤทธิ์ที่จะเอาชนะใจชายหนุ่มที่เธอรักหัวปักหัวทิ่มด้วยการสอบทุนไปเรียนต่อด๊อกเตอร์ (บ้าง) ซะเลย,เผื่อว่าจะลดความต่ำต้อยน้อยใจในตัวเองลงไปได้บ้าง แล้วก็ฟลุคมากที่ดันสอบได้

และเมื่อนางเอกไป พระเอกก็เริ่มรู้ใจตัวเอง เขาจะทำอย่างไรต่อไปมาลุ้นกันในเล่มนะจ๊ะ

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ส่วนอีกเล่มที่จะวางแผงในงานสัปดาห์หนังสือวันที่ 26 มีนาคม ถึง 7 เมษายนนี้คือ ปีกแห่งฝัน ค่ะ เล่มนี้ใช้นามปากกา ดาริกามณี ฝากเพื่อนๆ อุดหนุนด้วยนะคะ

เรื่องย่อ ปีกแห่งฝัน
ผู้เขียน ดาริกามณี

ISBN: 978-974-04-9241-2
Barcode: 978-974-04-9241-2
ขนาด : 145 x 210 x 13 mm
จำนวนหน้า : 224 หน้า
ราคา 159 บาท
สำนักพิมพ์ Come On
รายละเอียดเพิ่มเติม

เรื่องราวความฝันของฝิ่นกับเอื้อง สองหนุ่มสาวในวัยแสวงหา คนหนึ่งต้องการเอาชนะคำว่า “เจ้าคนนายคน” ของผู้เป็นบิดาที่หมายมั่นปั้นมือให้ลูกชายได้รับราชการทหาร มีเกียรติยศ มีหน้ามีตาในสังคม แต่ลูกชายก็เลือกที่จะทำตามความฝันของตัวเอง นั่นคือการทำไร่กล้วยไม้และไร่กุหลาบ ฝิ่นทำได้ดีถึงขั้นส่งออก แต่กว่าเขาจะก้าวมาไกลขนาดนี้ได้ ชายหนุ่มต้องฝ่าฟันขวากหนามไม่น้อยเหมือนกัน ขณะที่เอื้องต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้จากการทำร้านหนังสือ เธอต้องกู้เงินธนาคารมาทำร้าน และเผชิญกับคำว่า “มันจะได้สักกี่น้ำ” และแน่นอนว่า กว่าเธอจะยืนได้นั้น เธอเกือบล้มไปก็หลายครั้ง

สองหนุ่มสาวได้รู้จักและรักกัน ทั้งคู่มีความรัก มีความฝันและพร้อมที่จะเคียงข้างไปด้วยกัน แต่อยู่ๆ ก็มีอีกหนึ่งหนุ่มก้าวเข้ามาในชีวิตของหญิงสาว นั่นคือ น่าน นายทหารหนุ่มแห่งกองทัพอากาศ ซึ่งเหมือนตอกย้ำฝิ่นเรื่องความหวังของพ่อ น่านเป็นรักแรกของเอื้อง เธอสัญญากับเขาเอาไว้ว่าจะรอแต่เธอไม่คิดว่าเขาจะกลับมา…และเมื่อวันหนึ่งที่น่านกลับมาในวันที่เธอมีฝิ่นอยู่ข้างกาย นั่นหมายถึงเอื้องต้องเลือกใครเพียงคนเดียว, ขณะที่อิง น้องสาวของเอื้องหลงรักฝิ่นตั้งแต่แรกพบ ไม่มีใครรู้ความรู้สึกในใจของอิง เธอเก็บมันไว้มิดชิด จนกระทั่งเมื่อน่านต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่เอื้อง และฝิ่นกับเอื้องก็เป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น อิงก็ยังเป็นแค่น้องสาวที่แสนดีของฝิ่น เธอบอกกับตัวเองว่า “แค่ได้รักก็พอ”

ฝิ่นมีคุณวรรณนรี มารดาเป็นเหมือนเสาหลักของชีวิต คอยปลอบใจ ให้กำลังใจและคอยพยุงเมื่อเขาล้มลง แม่ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฝิ่น และนอกจากนั้นฝิ่นก็ยังมีสายรุ้งน้องสาวต่างมารดาคอยเป็นลูกมือในการดูแลไร่พร้อมกับรชตะคนรักของเธอซึ่งคอยดูแลเรื่องฟาร์มเลี้ยงผึ้งให้ ขณะที่อิงก็มีคิมหันต์ที่ชอบอิงอย่างจริงใจ แต่เมื่อรู้ว่าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของอิงได้ เขาก็จำเป็นต้องยอมแพ้และหาหนทางให้ฝิ่นกับอิงเปิดเผยความในใจต่อกัน

ปีกแห่งฝันฯ เป็นเรื่องราวของความรักที่อยู่บนพื้นฐานของความฝันของสองคนที่คือเอื้องกับฝิ่นที่สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ก็ไม่ได้ลงเอยกันอย่างที่น่าจะเป็น นั่นเพราะชีวิตคนเรามีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่อาจคาดเดาได้ล่วงหน้า แม้หัวใจและความรักจะผกผันไปกับเวลาและความผูกพัน แต่เรื่องราวของความฝันและความหวังเป็นสิ่งที่ตั้งมั่นอยู่ในหัวใจไม่อาจมีใครมาทำให้คลอนแคลนได้นอกจากตัวเอง…

และปีกแห่งความฝันจะโบยบินไปไกลเพียงไหนก็อยู่ที่หัวใจเจ้าของฝันที่จะฝ่าฟันให้ปีกแห่งฝันโบยบินสู่แดนดินแห่งรัก ณ โค้งรุ้ง…

Note : เป็นเรื่องที่เขียนมานานมากกว่าจะจบ แต่ก็ภูมิใจมากเมื่อท้ายที่สุดแล้วความพยายามทั้งหมดก็ไม่ได้สูญเปล่า ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^

Read Full Post »

วันหยุดสุดสัปดาห์ คือสวรรค์วิมานของใครหลายๆ คน และยิ่งคนที่รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในวิมานแล้วด้วยนั้น วันหยุดดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเหมือนงูแลบลิ้น เมษายน เป็นเดือนที่มีวันหยุดค่อนข้างยาวสำหรับประเทศไทย ประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้น ขอย้ำ, และนั่นมันทำให้เราอ่านหนังสือจบไปหลายเล่มอย่างไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น ฝนตกขึ้นฟ้า และ ยาแก้สมองผูกตราควายบิน ของวินทร์ เลียววาริณ มาถึง ดลใจภุมริน ของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่หนาเอาการ แต่ไม่นานก็อ่านจบ หนังสือหลายเล่มเป็นแบบนั้น คนเขียนมักจะวางระเบิดเอาไว้ให้คนติดตามแบบตื่นตาโดยไม่รู้ตัวเสมอ โดยเฉพาะพญาอินทรีย์แห่งทูนอินการ์เด้นท่านนี้ คนที่เรานับเป็นครู ทั้งที่ก็ไม่เคยจะเสี้ยมสอนวิชาการให้เราแม้สักน้อย แต่หนังสือทุกเล่มของท่านที่เราอ่าน เรื่องราวทุกเรื่องที่ท่านเขียน เป็นมากเสียยิ่งกว่า “ครู” เสียอีก เราไม่ติดอกติดใจ มาเฟียก้นซอย เหมือนใครหลายคน แต่เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่าน เมนูบ้านท้ายวัง หนังสือชุดนี้ทำให้เราอยากทำกับข้าวและชื่นชอบในเมนูปลา โดยเฉพาะต้มโคล้ง… เรามีความสุขที่จะอ่าน เสเพลบอยชาวไร่, ไปจนถึง สนิมสร้อย, ผู้ดีน้ำครำ, ใต้ถุนป่าคอนกรีต, บางลำพูสแควร์ และเล่มอื่นๆ อีกประดามี หนังสือของนักเขียนคนนี้ทำให้เราอยากเป็นนักเขียน และถ้าใครสักคนจะถามว่า เราชอบนักเขียนคนไหนมากที่สุดในประเทศนี้ละก็ บอกได้อย่างไม่ต้องคิดว่า ลุงปุ๊ แห่งสวนทูนอิน มาวินเป็นหมายเลขหนึ่งแน่นอน หรือถ้าเป็นนักเขียนเมืองนอก…ก็เป็นลุงปุ๊ตอนที่อยู่ต่างประเทศนั่นแหละ

ต้นเดือนห้า พฤษภาคม ฝนหล่นกระทบดินเพราะพายุ ไม่เป็นอุปสรรคของการอ่าน เสียงประสานของฟ้าที่ครืนๆ มาในบ่อยครั้งฟังไปก็เพลินดี มีวันหยุดติดกันสามวันตั้งแต่เสาร์ถึงจันทร์ เป็นอันว่าความสุขก็อยู่ที่บ้านกับการอ่านหนังสืออีกเช่นเคย แปลกดี ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ดูจะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ทั้งๆ ที่ก็ยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าเดิม อาจจะเพราะไม่ต้องเดินทางไกลไปทำงาน อาจจะเพราะเลิกงานกลับบ้านแล้วไม่มีกิจกรรมอื่น อาจจะเพราะไม่มีครอบครัวให้ต้องเอาใจใส่ เหนือสิ่งอื่นใดคือ บรรยากาศเป็นใจสำหรับการอ่านหนังสือมาก

ความสุขของคนโสด – บางคนเลือกที่จะทำงานเยอะๆ ในช่วงที่มี “แรง” ในวาระที่ยังไม่มีภาระครอบครัว หลายคนเลือกทำงานหนักเพื่อทำเงิน และเป็นสุขกับการหาเงิน ซึ่งก็อดที่จะนึกถึงคนใกล้ตัวไม่ได้… เราสองคนมีความสุขที่แตกต่างกันพอควร ซึ่งต่างใช้ “ความโสด” ของเราไปกับ “ความสุข” คนละแบบ เรามีวันหยุดสำหรับการอ่านและเขียน เขามีวันหยุดสำหรับการทำงาน-ทำเงิน และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตจากเงินที่หามา เรามีความสุขกับการได้เดินช้าๆ มีเงินแค่พอจ่าย ไม่พอบ้างก็ดิ้นรนไปตามยะถา อดออม กระเหม็ดกระแหม่ ขัดสนบ้างในบางทีก็สนุกดีตามประสา แต่ถ้าต้องใช้เวลาไปกับการทำงานเพื่อที่จะให้ได้เงินมากๆ แล้วล่ะก็ดูจะไม่ใช่วิสัยที่ถูกฝึกมาให้เป็นอย่างนั้น, แต่ใครๆ ก็มักพูดว่า “วันหยุดยาวๆ น่าจะเขียนหนังสือได้เยอะๆ นะ” ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้หยุดสั้น หรือหยุดยาว เรื่องการเขียนหนังสือนี่ดูจะเป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้จริงๆ เพราะเขียนตามใจ อยากเขียนก็เขียน ไม่อยากเขียนก็ไม่-แม้กระทั่งจะเปิดไฟล์เรื่องนั้น ถ้าคิดพล็อตออก แม้ตอนตีสามก็จะลุกมาเขียน แต่ถ้าคิดไม่ออก บางครั้งเป็นเดือนๆ ก็เขียนไม่ได้… เพราะงั้น การเขียนหนังสือของเราจึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ – แต่การอ่านนี่ดูเหมือนจะเกิดจากความเคยชินมากกว่าอย่างอื่น อาจจะเพราะหนังสือวางอยู่ตรงหน้า อาจเพราะว่าบางเล่มยังไม่ได้อ่าน หรืออาจเพราะไม่อยากคิดอะไรในวาระนั้น การหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านจึงเป็นการใช้เวลาไปอย่างรู้สึกว่าไร้ค่าน้อยที่สุดแล้ว…

วันหยุดนี้ก็เช่นกันหนังสือที่อ่านจบไปเป็นหนังสือแปลชื่อ The Final Detail ในชุด Myron Bolitar Novel ที่ยืมมาจากเพื่อนสาวความสูงร้อยสี่สิบแปด อีกแค่สองเซ็นติเมตรเท่านั้นเธอก็จะได้หนังสือชื่อชีวิตร้อยห้าสิบเซ็นติเมตร เป็นของขวัญวันเกิดแล้ว และภาวนาว่าวันเกิดเธอปีนี้ความสูงเธอจะถึง…

จากนั้นเหมือนเครื่องติด เมื่อลองไล่นิ้วไปตามสันหนังสือก็พบว่ามีบางเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน (ข้ามเล่มที่อ่านยังไม่จบไป) นั่นก็คือ อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ…ที่รัก ของ ชมัยภร แสงกระจ่าง ที่เขียนในชื่อ ไพลิน รุ้งรัตน์ ไม่รู้ว่ารอดหูรอดตาไปได้ยังไง ตั้งแต่ปี 1999 หยิบลงมาอ่านและใช้เวลาไม่นานเกินไปนัก, จบแล้วก็ทำให้อยากแนะนำหนังสือให้คนอื่นได้อ่านบ้าง ตามประสาผู้มีอาชีพเดียวกับนางเอกของเรื่องและมีจันทบุรีเป็นจังหวัดในดวงใจ หลายเล่มในเรื่องเป็นหนังสือที่เคยอ่านแล้ว และหลายเล่มทำให้อยากหามาอ่าน โดยเฉพาะวรรณกรรมไทยยุคก่อนเราเกิด ดูจะเป็นแม่แบบและเป็นแรงบันดาลใจของนักเขียนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี จากหนังสือเหล่านั้น แตกแขนงมาเป็นการเขียนในแบบร่วมสมัยก็หลายเรื่อง จบเรื่องราวของหมอจุลกับแม่ลมเย็นลงแล้วก็เริ่มว่าง… เสียงเรือหางยาวที่ดังเป็นระยะสร้างความรำคาญเป็นพักๆ – แต่ก็แปลกดี วันนี้ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากใครเลย

ย้อนกลับไปที่วินทร์ เลียววาริณ อีกที คนนี้ ทีแรกไม่คิดว่าจะอ่านหนังสือของเขาเป็นเรื่องเป็นราวและเอาจริงเอาจังขนาดนี้ แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนเพราะบังเอิญไปรู้จักกับชายหนุ่มสถาปนิกรั้วเดียวกับวินทร์ เลียวฯ คนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกห้องสมุดแห่งเดียวกัน ห้องสมุดประชาชนแสงอรุณ – เราคุยกันเรื่องหนังสือ เขาอยากลองอ่านหนังสือของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ และเราเองก็อยากลองอ่านหนังสือของ วินทร์ แน่นอน เราต่างก็ไม่ยืมจากห้องสมุด เพราะข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา แต่เราเอาหนังสือของตัวเองมาแลกกันอ่าน เราเอา ผู้ดีน้ำครำ ไปแลก ปีกแดง มาอ่าน และหลังจากนั้นเราก็กลายเป็นแฟน วินทร์ เลียววาริณ อย่างไม่รู้ตัว หรือจะให้ถูก เราเป็นแฟน พุ่มรัก พานสิงห์ ต่างหาก

งานหนังสือเมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ครึกครื้นและน่าแปลกใจที่ตลาดหนังสือประเทศไทยไม่ได้ซบเซาไปตามเศรษฐกิจอย่างที่คิดไว้ หนังสือดีๆ มีให้เลือกเยอะพอๆ กับที่ต้องเลือกว่าเล่มไหนคือหนังสือดีๆ นั่นแหละ จำไม่ได้ว่าเป็นประโยคของใครที่พูดถึงเรื่องการอ่าน

– ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนานนักเมื่อเทียบกับจำนวนหนังสือในโลก เพราะงั้นก็ควรเลือกที่จะอ่านในเล่มที่ทำให้เกิดคุณค่ากับชีวิตจริงๆ

เราเถียงน่ะ, อย่างน้อยก็ในใจ, เพราะคงไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเล่มไหนที่จะทำให้เกิด “คุณค่ากับชีวิต” เราจึงเปลี่ยนประโยคเขาเสียใหม่ว่า

–ชีวิตคนเราแสนสั้นนักจงเลือกอ่านเล่มที่อยากอ่าน…

หนังสือทุกเล่มมีคุณค่าในตัวของมันทั้งนั้นแหละ อยู่ที่เราจะหยิบ จับ ฉก และฉวยมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก และเราอยากให้ทุกคนอ่านในเล่มที่ “อยากอ่าน” อย่าเพิ่งไปคาดหวังว่ามันจะได้คุณค่าหรือไร้คุณค่าเสียเลยทีเดียว ถ้าเล่มไหนที่เจอแล้วอยากอ่าน อย่าลังเลนานเพราะมันจะทำให้ความอยากนั้นลดถอยลงไป หยิบขึ้นมาเปิดคำนำ, ขอแนะนำให้อ่านคำนำ มากกว่าคำโปรยปกหน้า-หลัง เพราะคำนำ หรือคำนิยม เป็นสิ่งที่มาจากใจของคนเขียน แต่คำโปรยปกมาจากใจของการตลาด…

วันอาทิตย์นี้หนังสือที่เลือกหยิบมาอ่านต่อคือ โลกของโซฟี, ชามี, อิชมาเอล (Ishmael) เล่มแรกในคำนำบอกว่า เป็น หนังสือปรัชญา แต่การพิมพ์ถึงครั้งที่แปด (เล่มที่ถืออยู่นี้) แปลได้ไหมว่าคนไทยชอบเรื่องราวเกี่ยวกับปรัชญา…

ส่วนชามีเป็นนวนิยายของทมยันตี นักเขียนอีกท่านที่เราศรัทธาในการใช้ภาษาและการเล่าเรื่อง ถึงแม้ระยะหลังทมยันตีจะยืนยันการ ‘รับใช้ศาสนา’ อย่างจริงจังไปนิด แต่นิยายก็คือ นิยาย ใครจะได้อะไรไปมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นจะ ‘อยากได้’ ในสิ่งที่ผู้เขียนให้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก และสำหรับเล่มสุดท้าย

อิชมาเอลในตอนหนึ่งของคำนำบอกไว้ว่า “อิชมาเอล ถ่ายทอดแนวคิดสำคัญทางชีววิทยา เช่นแนวคิดทางนิเวศวิทยา สมดุลของระบบนิเวศ วิวัฒนาการและความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านรูปแบบของงานวรรณกรรม” เล่มนี้น่าอาจจะเข้าใจยากสำหรับคนที่ไม่สนใจเรื่องชีววิทยา แต่ก็น่าสนใจเพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนใช้เป็นตำราประกอบการสอนเลยทีเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าจะอ่านหนังสือสองสามเล่มนี้จบภายในวันสองวันนี้แน่ๆ อย่างน้อยความ “อยากอ่าน” ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้เอาจริงเอาจังกับมันนัก

ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่กระโดดเข้ามาอยู่ในหัวข้อ “อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะที่รัก (ของเรา) ” อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แน่นอนเพราะมันเป็นเล่มที่ ‘อยากอ่าน’ แต่คงต้องใช้เวลา โดยเฉพาะหลายเล่มของ อัลแบร์ การ์มู ฉบับแปลที่ส่ายสายตาไปเห็นพอดี ทั้ง ความตายอันแสนสุข คนนอก มนุษย์คนแรก ผู้บริสุทธิ์ ความเข้าใจผิดและกาลีกูลา การเนรเทศและอาณาจักร กับเล่มที่ถืออยู่ในมือตอนนี้คือ มนุษย์สองหน้า อัลแบร์ กามู เป็นนักเขียนซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับนักอ่านบางกลุ่มในบ้านเรา แต่บางคนก็ไม่ชอบเอาเสียเลย ว่ากันไม่ได้ เพราะของอย่างนี้เป็นเรื่องของรสนิยม เหมือนบางคนชอบปลาดิบแบบญี่ปุ่นและอีกคนชอบปลาร้าแบบอีสานน่ะแหละ

ก่อนวันหยุด เข้าอบรมเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยา ได้ฝึกการมองตัวเองอย่างตัวอย่างอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ฝึกการมองคนอื่นอย่างยุติธรรม และฝึกการฟังมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะจากการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าทำไมเราจึงมองคนอื่นในมุมลบไม่ใช่ฝึกที่จะมองคนอื่นแต่ฝึกที่จะมองตัวเอง กล้าที่จะตรงไป ตรงมากับตัวเองและยอมรับความจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็น และหลังจากกิจกรรมก็เลยมีโอกาสได้คุยกับผู้เข้าร่วมกิจกรรมท่านหนึ่งที่ชื่นชอบผลงานของสองพี่น้อง หุตางกูร ทินกร และปริทรรศ คุยกันถึง คนไต่ลวดบนดาวสีฟ้า ทัชมาฮาลบนดาวอังคาร โลกของจอม และยอมรับกับความไม่ธรรมดาในฝีมือของทั้งคู่…

ดูเหมือนจะเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของคนที่ทำงานกับหนังสือ คือมีหนังสือให้เลือกอ่านค่อนข้างมาก และยิ่งถ้ามีเวลาด้วยแล้ว หนังสือก็คือ “สวรรค์วิมาน” ที่จะกระโดดเข้าไปหาตอนไหนก็ได้

การอ่านทำให้ได้กำไร การเขียนทำให้ได้ค่าเรื่อง

มีใครบางคนบอกไว้แบบนี้…./

 

Read Full Post »

ในที่สุด รักข้ามรั้ว ก็เป็นเรื่องเป็นราว และเป็นเล่ม
สมกับที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยมาเป็นปี
ต้องขอบคุณสำนักพิมพ์ไฟน์บุ๊ค อย่างสูงยิ่ง
ที่ทุ่มทุนสร้างโดยไม่หวั่นว่าจะขายไม่ออก ^^”

ติดตามเรื่องราว และ ข่าวคราวได้จากตรงนี้ค่ะ

Just Do It ! ! ! !

Read Full Post »

สองบทที่อ่านถึงสองรอบคือ “แค่ชอบคงไม่พอ” กับ “สุดเวหากับแค่คืบ” พูดถึงบทแรก นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้รู้สึกได้เลยว่าอะไรหลายๆ อย่างที่เรากำลังทำและคิดจะทำและอยากทำทั้งหลายนั้นเราควรถามตัวเองและตอบตัวเองให้ได้ว่า “แค่ชอบ หรือว่านี่แหละใช่” ถ้าเมื่อไหร่ที่มากกว่าแค่ชอบ เราจะทุ่มทั้งชีวิตจิตใจ แต่ถ้าเราแค่ชอบ เราก็จะไม่ใส่ใจมากเท่าที่ควร… ไม่ว่านั่นจะเป็นเรื่องงาน การใช้ชีวิต หรือว่าเรื่องของความรักก็ตาม และพูดถึงความรักก็ต้องบอกว่า “มายาพระจันทร์” นี่ก็ทำเอาตกหลุมรักพระจันทร์เสียจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียด้วย ไม่ว่าพระจันทร์จะมีด้านมืด ด้านสว่าง ยังไงพระจันทร์ ก็ยังเป็นพระจันทร์ ในเมื่อเรารู้ว่าพระจันทร์เป็นแบบนั้นถ้าเรารักจริงๆ เราก็ต้องยอมรับในด้านมืดของพระจันทร์…หลุมอุกกาบาตจะลึกแค่ไหนก็ยอม “ตก” ลงไป เช่นกันค่ะ ^_^

เรื่องราวของสุดเวหากับแค่คืบ คนเขียนก็ตั้งใจตั้งชื่อ “ศิลปิน” ในเรื่องให้แมทซ์กับเรื่องที่เขียนจนไม่ต้องเดาไปถึงไหน ไกลๆ เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าคนหนึ่งนั้นสุดเวหา อีกคนนั้นก็แค่คืบ ตรงไปตรงมา… เรื่องราวของสองหนุ่มศิลปินที่ต้องทำงานในโจทย์เดียวกัน คนนึงมองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดโต่ง คนนึงมองโลกในแง่ดีธรรมดา เมื่อโจทย์คือ ต้องวาดภาพที่สามารถ “จู่โจมเข้าหาคนดูโดยไม่รู้ตัว” และคนที่ครุ่นคิดที่จะเอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าต้องเป็น “สุดเวหา” เขากังวลว่า “แค่คืบ” จะลอกงาน กังวลว่าจะพ่ายแพ้ และอีกมากมายที่สั่นประสาทจนเขาหวาดหวั่น ในขณะที่แค่คืบทำงานไปอย่างใจเย็น และไม่เครียดเคร่งกับสิ่งที่ทำ และเมื่อวันตัดสินมาถึง ทั้งสองภาพ มีผ้าดำคลุมไว้เพื่อไม่ให้เห็นว่าข้างในเป็นรูปอะไร และเมื่อ อาจารย์ “ลมพัดชายเขา” กับประดาลูกศิษย์ศิลปะเข้ามาดูแล้วก็ต้องตกตะลึงในภาพของ สุดเวหาที่เขา วาดภาพใบหน้าของตัวเองในกระจกหน้าต่างที่สะท้อนเงาของเขา… แต่ขณะที่แค่คืบไม่เปิดผ้าคลุมสีดำนั้นออก อาจารย์บอกให้เปิดผ้าคลุมออกเขาก็บอกว่า “เปิดไม่ได้” ดังนั้นใครๆ จึงลงความเห็นว่า แค่คืบพ่ายแพ้สุดเวหา แต่อาจารย์ลมพัดชายเขาไม่คิดอย่างนั้นเมื่อเขามองมันชัดๆ อีกครั้งหนึ่งจึงพบว่า นี่แหละคือรูปที่ “จู่โจมคนดูโดยไม่รู้ตัว” จริงๆ เพราะภาพที่แค่คืบวาดก็คือ รูปวาดผ้าสีดำที่กำลังคลุมเฟรมผ้าใบที่มีขาตั้งอยู่นั่นเอง…

คิดว่าหลายคนที่เป็นแฟนคุณจิก – จะต้องชอบ เพราะการเล่าเรื่องแบบคนขี้อำนี่… ชอบมาตั้งแต่ “เกาะก๋วยเตี๋ยว” แล้วล่ะ, อ่ะ ในเล่มไม่ใช่แค่นี้ เพราะพออ่านมาถึง “ซุนวู” แล้วก็เหมือนโดนน็อคด้วยประโยคคมๆ ของซุนวูเข้าไปอีก “สู้ตายอาจถูกฆ่า กลัวตายอาจถูกจับ ฉุนเฉียวอาจถูกยั่ว เย่อหยิ่งอาจถูกหยาม ขี้สงสารอาจถูกก่อกวน” ตำราพิชัยสงครามเล่มนี้กลายเป็นหนังสือเล่มที่ “อยากอ่าน” ขึ้นมาทันที โดยเฉพาะประโยคนี้

รบร้อย ชนะร้อย ยังหาใช่ความยอดเยี่ยมไม่
มิต้องรบ แต่ชนะ จึงเป็นความยอดเยี่ยม

แต่ที่อ่านแล้วประทับใจมากกว่าอื่นใด ก็เห็นจะเป็น “ของขวัญจากหลวงปู่” นั่นเอง… อ่านจบตอนก็ต้องเดินไปหยิบ “โยนิโสมนสิการธรรม” มาอ่านอีกครั้ง-ให้กำลังใจตัวเอง ^_^

ถึงบรรทัดนี้แล้ว… ก็ไม่บอกล่ะนะว่าหนังสือเล่มนี้มีดีที่ตรงไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึง “ความรักในมือข้างซ้าย” ที่ ณนนท์ เคยเขียนเอาไว้ว่า

“คนเรามักจะถนัดด้านขวาเรามักจะเคยชินกับการใช้มือขวาทำงาน เรามักจะมือขวาในการยืดจับสิ่งต่างๆ รวมทั้งหัวใจของคนรัก แต่รู้ไหมว่ามือขวากำลังทำร้ายหัวใจอยู่ เรามักจะใช้มือที่ถนัดในการทำสิ่งต่างๆ เมื่อเราแปรงฟันด้วยมือขวา เราจะแปรงฟันโดยอัตโนมัติไม่ต้องคิดอะไรมากมาย แต่เมื่อเราลองมาแปรงฟันด้วยมือซ้าย จะพบว่าเราต้องมีความตั้งใจในการแปรงฟันมากขึ้น

ดังนั้น ถ้าเราเอาหัวใจมาไว้ในมือซ้าย เราก็จะต้องตั้งใจดูแลหัวใจดวงนั้นให้มากขึ้น ลองเปลี่ยนจากการดูแลหัวใจด้วยมือข้างขวาการดูแลหัวใจด้วยความเคยชินมาเป็นการดูแลหัวใจด้วยมือข้างซ้าย ซึ่งเป็นการดูแลหัวใจด้วยความตั้งใจ แล้วเราอาจจะพบว่าที่ผ่านมาเราได้ทำความตั้งใจหล่นหายไปมากมาย นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงมีหัวใจอยู่ข้างซ้าย”

ณนนท์ กับคุณประภาสไม่ได้รู้จักกัน และ ณนนท์ ก็ไม่เคยตั้งคำถามว่า “แมงกะพรุน ถนัดซ้าย” หรือเปล่า…

เขารู้แต่ว่า บางครั้งก็ต้องดูแลหัวใจด้วยมือข้างซ้ายบ้าง เท่านั้นเอง ^_^

Read Full Post »

ประภาส ชลศรานนท์. เท่าดวงอาทิตย์. พิมพ์ครั้งที่ 4.เวิร์คพอยท์สำนักพิมพ์. 2547

จำไม่ได้หรอกว่า ก่อนหน้านี้มีหนังสือ “คุยกับประภาส” ชื่ออะไรบ้างจำได้แต่ว่าเคยอ่าน กบเหลาดินสอ มะเฟืองรอฝาน ตัวหนังสือคุยกัน เชือกกล้วยมัดต้นกล้วย และเล่มนี้…

จับใจความได้คร่าวๆ ถึงเรื่องเล่าของคุณประภาส คือ เหมือนการ “จับเข่านั่งคุย” เมื่อมีคำถามเกิดขึ้นปุ๊บ คุณประภาสจะไม่ตอบหรอกว่า ผมก็คิดอย่างนี้ ผมก็คิดย่างนั้น หรือ ผมว่ามันเป็นอย่างนี้ ผมว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่คุณประภาสจะเป็น “นักยกตัวอย่าง” ซึ่งจะเล่าเรื่อง เพื่อให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น และเพื่อให้มองในมุมอื่นที่ต่างออกไป ซึ่งที่จริงบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่โดยทั่วไปเราๆ ก้ไม่ค่อยนึกถึงกันนัก… ในเล่มนี้ ที่ชอบที่สุดเป็นตอนที่ … ตอนไหนจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่เนื้อหา ที่บอกว่า แม่แอบกินไอศกรีมในตู้เย็นที่ลูกสาวซุกซ่อนไว้ซอกลึกสุดของตู้เย็น แล้วแม่ก็ยังไปเอามากินจนได้ ลูกสาวกลับมาจากทำงานเห็นแม่กำลังกินไอศกรีมก็ดุใหญ่ ว่าอุตส่าห์ซ่อนแล้วยังหาเจออีก คนเป็นแม่ก็ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ แอบไปร้องไห้เสียใจที่ลูกไม่รัก ไอติมแค่นี้ก็ต้องหวงด้วย ในขณะที่ตัวลูกสาวเองกลับคิดอีกอย่างหนึ่งคือ ที่ไม่อยากให้แม่กินเพราะกลัวว่าโรคเบาหวานแม่จะกำเริบ เธอเป็นห่วงไม่อยากให้แม่ป่วย ซึ่ง เป็นเรื่องของ มุมมองของคนที่ “ยืนอยู่คนละจุด”

อ้อ อีกตอนก็คือ “หมาหมอบ” ซึ่งคล้ายจะบอกว่า เมื่อเจอกับเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตแล้วที่เหลือก็จะเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่ก็เคยเชื่อตลอดมาว่า “เรื่องราวต่างๆในชีวิต มันยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุดหรอก เพราะเรายังผ่านมันมาได้ทุกครั้ง” ความหมายอาจจะใกล้เคียงกัน แต่ก็อาจต่างกัน ^_^

อ่านหนังสือหนึ่งเล่ม เราได้มุมมองที่ต่างออกไป หนึ่งเรื่อง เหมือนเราคุยกับคนอื่นหนึ่งคน อ่าน “เมนูปรารถนา” ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังคุยกับ ฮิมิโตะ อ่าน เราจะนอนมองฟ้าด้วยกันอีกครั้ง ก็รู้สึกเหมือนนั่งคุยใต้ร่มไม้ แดดร่มลมตกริมทะเล กับคุณสุรักษ์ และเมื่ออ่านเท่าดวงอาทิตย์ ก็อดคิดไม่ได้ว่า เหมือนกำลังนั่งถกกับคุณประภาส ยังไง ยังงั้น….

Read Full Post »

ยิว

โดย หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช, 2510 พิมพ์ครั้งที่ 7, 2545 ดอกหญ้า

สืบเนื่องมาจากการดูหนัง 2 เรื่อง คือ Schinler’s list กับ The Pianist และอ่านหนังสือ 2 เล่มคือ The Reader’s และ Anne Frank : The Diary of the young girl เลยทำให้เกิดความสนอกสนใจและอยากรู้อยากเห็นถึงเรื่องราวและความเป็นมาเป็นไปของ “ยิว”

ในที่สุดก็หาหนังสือชื่อ “ยิว” มาอ่านจนได้ พร้อมด้วยความกระจ่างในเรื่องของยิว ซึ่งถึงแม้จะเป็นมุมมองในทางบวกของผู้เขียน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ได้เห็นถึงการเอาตัวรอดของยิว การนับถือศาสนา
ยูดาย ด้วยจิตใจอย่างแท้จริง… และแน่นอน รู้ถึงสาเหตุของการเกลียดชังถึงต้องล้างผลาญยิวของฮิตเลอร์แล้วล่ะ

ยิวเป็นคนเก่ง และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงหลายคน

– ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งคือ ศาสนาคริสต์ มีศาสดา คือพระเยซู เป็นยิว

– ศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดอีกศาสนาหนึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากศาสนาของพวกยิว

– ผู้เริ่มลัทธิใหญ่อีกลัทธิหนึ่งในโลก คือ ลัทธิคอมมิวนิสต์ ชื่อว่า คาร์ล มาร์กส์ ก็เป็นยิว

– นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นผู้เปิดทางให้มนุษย์เข้าสู่ยุคปรมาณูและเป็นผู้ชี้ทางให้มนุษย์เดินทางไปถึงพระจันทร์ในอนาคตด้วยทฤษฎีฟิสิกส์ของเขา ก็เป็นยิว

– ซิกมันด์ ฟรอยด์ ผู้ซึ่งได้เปิดเผยจิตของมนุษย์ออกไปให้คนได้ศึกษา ก็เป็นยิว

– และเมื่อ 300 ปีก่อนนั้น นักปรัชญาอีกคนหนึ่งชื่อ สปิโนซ่า ผู้ซึ่งได้ยกเอาวิชาปรัชญาออกมาจากวิทยาคมเอามาศึกษาเป็นวิทยาศาสตร์นั่นก็เป็นยิว เช่นเดียวกัน

ประวัติของยิว จากหนังสือเล่มนี้มีอยู่ว่า เมื่อสี่พันปีก่อนมีชายชื่อเตราห์ได้นำบุตรชายของเขาคือ อะบราฮาม พร้อมด้วยภรรยาของบุตรชายชื่อซาราห์ และหลานชายชื่อโลต ออกเดินทางไปในป่าและได้เดินทางข้ามแม่น้ำยูเฟรติสไปยังอีกฟากหนึ่งแล้วเดินทางต่อไปทางทิศเหนือ การที่ได้ข้ามแม่น้ำมานี้ทำให้เตราห์และคนในครอบครัวได้ชื่อว่า อิวรึม แปลว่า ผู้ที่ข้ามไปแล้ว หรือผู้ที่มาจากฝั่งข้างโน้น คำว่า อิวรึม ต่อมาได้เพี้ยนเป็น
คำว่า “ฮีบรูว์ : Hebrew” ในภาษาอังกฤษ

เตราห์และครอบครัวเดินทางขึ้นเหนือไปจนถึงดินแดนที่เป็นประเทศตุรกีในปัจจุบัน เขาได้ถึงแก่ความตายและอะบราฮามจึงเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไป และบนภูเขาแห่งหนึ่งอะบราฮามก็ได้พบกับพระผู้เป็นเจ้านามว่า “พระยะโฮวา” พระผู้เป็นเจ้าได้ทำสัญญากับอะบราฮามว่าจะทรงรับอะบราฮามและลูกหลานของเขาไว้ในอุปการะ และให้ผู้ชายทุกคนที่อยู่ในอุปการะของพระองค์นั้นต้องทำสุหนัต คือ ตัดหนังหุ้มปลายองคชาตเมื่ออายุได้แปดวันหรือมิฉะนั้นก็ต้องตัดเมื่อเขารีตนับถือศาสนาเดียวกับชนในอุปการะของพระองค์ ซึ่งสัญญาที่พระองค์ให้ไว้เป็นเครื่องตอบแทนนั้นคือ ดินแดนคะนาอัน ซึ่งคือประเทศอิสราเอล ในปัจจุบัน

พระผู้เป็นเจ้าซึ่งอะบราฮามได้พบบนภูเขานั้นเป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวซึ่งพวกยิวเชื่อถือว่าได้ทรงสร้างโลกมนุษย์ตลอดจนสุรยจักรวาลนี้ขึ้น และพระนามที่เรียกว่า “พระยะโฮวา” นั้นเป็นของผู้อื่นเรียก พวกยิวแท้ไม่เคยออกนามพระเจ้าเลย แต่เรียกด้วยตัวอักษรซึ่งออกอีกเสียงไม่ได้สี่ตัวคือ “ยฮวฮ” ตามปกติแล้วยิวจะเรียกพระผู้เป็นเจ้า 3 ทางคือ “เอโลฮิม” แปลตรงๆ ว่า พระผู้เป็นเจ้าหรือเทวะ, ทางที่สองคือ “ยฮวฮ” และทางที่ 3 คือการเอาทั้งสองทางมารวมกันคือ “ยฮวฮ เอโลฮิม” นั่นคือประวัติศาสตร์

และขอเล่าอย่างคร่าวๆ ว่ายิวเป็นชนชาติที่ไม่อยู่นิ่ง คือมักจะเดินทางท่องเที่ยวไปตามภูมิภาคต่างๆ แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปในหลายๆ ประเทศ ยิวเคยมีดินแดนปาเลสไตน์เป็นที่อยู่อาศัยแต่ก็ถูกตีเอาไปด้วยพวกอาหรับ พวกยิวจึงต้องอพยพเร่ร่อนไปอยู่ในหลายประเทศ แต่ยิวก็อยู่ไหนได้ไม่นานก็มักจะมีเรื่องมีราวให้ต้องระเห็จออกจากถิ่นที่อยู่เดิมอยู่เรื่อยไป ไม่ใช่เพราะยิวเป็นพวกหาเรื่อง หรือนักเลงแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของศาสนาล้วนๆ

การเผยแพร่ศาสนาของคริสต์ และการตั้งข้อรังเกียจของอิสลามทำให้ยิวอยู่ที่ไหนก็ไม่เป็นสุข เพราะคริสต์ก็กล่าวหาว่ายิวเป็นพวกทำให้ศาสนาเสื่อมและเป็นพวกนอกศาสนา แต่ยิวเป็นคนเก่ง ฉลาดและมีหัวทางการค้า เมื่อประเทศใดที่ระบบเศรษฐกิจไม่ดีก็ให้ยิวเข้าประเทศไปช่วยฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ ยิวส่วนใหญ่ทำงานด้านการธนาคาร การคลัง และทำการค้า ออกเงินกู้ เมื่อประเทศเจริญขึ้นก็พยายามหาทางขับไล่ยิวออกนอกประเทศเนื่องจากสาเหตุทางการนับถือศาสนา และความเป็นเชื้อชาติยิวซึ่งมีความแตกต่างจากเจ้าของประเทศ หลายๆ ประเทศกีดกันแบ่งแยกยิวด้วยการสร้างเก็ตโตให้อยู่ซึ่งเป็นชุมชนของยิวโดยเฉพาะ

ยิวในหลายร้อยปีก่อนจึงมักจะตกเป็นคนอีกจำพวกหนึ่งซึ่งถูกตั้งข้อรังเกียจอยู่เสมอ แต่ยิวก็เอาตัวรอดได้เสมอมาเช่นกัน และยิวก็เป็นอย่างนี้ตลอดมาจนกระทั่งถึงสงครามโลก เมื่อครั้งที่ฮิตเลอร์สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว เนื่องจากความเกลียดชังอย่างรุนแรง

“….. สำหรับคนที่แอนตี้เซมิติคแล้ว เหตุสำคัญที่ทำให้เกลียดยิวก็เพราะว่ายิวนั้นเป็นยิว ข้อนี้เป็นความผิดอย่างหนักของยิวเหนือความผิดหรือความชั่วอื่นๆ และความผิดนี้ไม่มีทางที่จะให้อภัยได้ ถึงยิวจะเปลี่ยนศาสนาหรือทำคุณงามความดีอย่างใดๆ ก็ตามที ยิวก็จะยังเป็นยิวอยู่นั่นเอง และเป็นวัตถุแห่งความเกลียดชัง ต้องคิดทำลายล้างผลาญตลอดไป สภาพจิตใจที่เรียกว่าแอนตี้เซมิติคจึงมิใช่ความเกลียดชังอย่างธรรมดาซึ่งเกิดจากเหตุสามัญและเป็นความเกลียดชังที่ใครๆ ก็มี แต่ความว่าความรู้สึกแอนตี้เซมิติคนั้นเป็นปัญหาทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ซึ่งใครเป็นแล้วออกจะรักษายาก ถ้าจะหาสาเหตุแห่งโรคทางใจนี้ให้ได้ ก็พอจะกล่าวได้ว่าสาเหตุนั้นคือความกลัวนั่นเองคนที่เกลียดยิวแบบอินตี้เซมิติคนั้น ที่แท้ก็กลัวยิวเพราะยอมรับว่ายิวนั้นมีคุณสมบัติต่างๆ ที่เหนือกว่าตนจนไม่สามารถที่จะแข่งขันเอาชนะได้ เมื่อเกิดความรู้สึกที่ไม่รู้ตัวว่าจะแข่งขันในทางที่ชอบที่ควรไม่ได้แล้ว ทางออกก็มีเหลืออยู่ทางเดียวคือทำลายล้างผลาญยิวให้หมดไป……” ( หน้า247)

นั่นเป็นเหตุให้ยิวหลายล้านต้องตาย (เหมือนใน Schinler’s list กับ The Pianist และใน The Reader’s และใน Anne Frank : The Diary of the young girl นั่นแหละ…..

ความเกลียด ที่มีสาเหตุมากจากความกลัวของฮิตเลอร์ ได้ทำลายเผ่าพันธุ์ยิวลงไปมาก แต่นั่นก็ทำให้ยิวทั้งหลายได้เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ คือการได้ประเทศอิสราเอลกลับมาเป็นของยิวในปัจจุบัน

ยิวไม่ใช่นักสู้ ไม่ใช่นักรบ แต่ยิวเป็นนักบริหาร รู้จักเอาตัวรอดด้วยปัญญามากกว่ากำลัง และแม้ในทุกวันนี้คนยิวก็ดูจะมีทั่วไปในทุกพื้นที่ในโลก……/
 

Read Full Post »